ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ถอดรหัส CEO หญิง ผู้พลิกองค์กรสู่ความสำเร็จ
ในภูมิภาคเอเชีย ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่ยอมรับและเปิดกว้างในศักยภาพของผู้หญิง เห็นได้จากการที่มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งสำคัญระดับประเทศ รวมไปถึงมีผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้หญิงเก่งสองคนที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในแวดวงธุรกิจแฟชั่นและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่ได้รับการยอมว่าเป็น ผู้หญิงเก่งแถวหน้าของวงการ พร้อมเคล็ดลับในการบริหารองค์กร ควบคู่ไปกับการบาลานซ์ชีวิตครอบครัวในแบบฉบับของเธอเอง คุณกรกนก สว่างรวมโชค CEO บริษัท SHU GLOBAL จำกัด และคุณกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) Thailand e-Business Center (TeC) นายกหญิงคนแรกแห่งสมาคมผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย หรือ สมาคมอีคอมเมิร์ซแห่งประเทศไทย (THECA: Thai e-Commerce Association) ได้มาแชร์ประสบการณ์ ให้ผู้เข้าอบรมหลักสูตร NIA X SCB Innovation-Based Enterprise (IBE) รุ่นที่ 4 Innovative Woman Enterprise ดังนี้
จากเด็กหญิงยากจน สู่ผู้บริหารแบรนด์แฟชั่นระดับโลก
ชีวิตที่ติดลบนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ เพียงเพื่อต้องการหาเงินส่งเสียตัวเองเล่าเรียนหนังสือ นั่นคือ จุดเริ่มต้นของ CEO หญิงแกร่งที่มีชื่อว่า คุณกรกนก สว่างรวมโชค (คุณป้อ) แห่งบริษัท SHU GLOBAL จำกัด แบรนด์แฟชั่นที่ครองใจลูกค้าทั้งไทยและเทศ คุณป้อเล่าว่า “เริ่มต้นทำแบรนด์แฟชั่นตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยการดีไซน์สินค้าส่งไปขายตามร้านต่าง ๆ และเก็บหอมรอมริบ จนสามารถเปิดร้านของตัวเองตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 จากนั้นก็ขยายสาขาไปทั่วสยาม แต่แล้วบททดสอบความแกร่งก็มาถึง เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ร้านค้ายอดขายตก แถมยังมีคนก๊อปปี้สินค้าไปขาย เลยหาทางออก ด้วยการก๊อปปี้สินค้าตัวเอง แล้วทำขายในราคาที่ถูกลง จนทำให้ธุรกิจสามารถฟื้นคืนได้อีกครั้ง แต่แล้วการทำธุรกิจก็เหมือนกับการเล่นโรลเลอร์คอสเตอร์ ที่มีทั้งขึ้นและลง ในปี 2011 คุณป้อก็ได้เจอกับบททดสอบอีกครั้ง ที่หนักจนถึงขั้นเกือบจะเจ๊ง เหลือเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจเพียงแค่ 7 เดือน ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ เกิดอุบัติเหตุข้อเท้าหัก ทำให้ต้องออกแบบรองเท้าเพื่อใช้รักษาตัวเอง แม้ท้องฟ้าจะมืดมิด แต่ยังมีแสงสว่าง รองเท้าที่ใช้รักษาตัวเองกลายเป็นจุดกำเนิดของรองเท้ารุ่น SOFA SHU รองเท้า Signature ของ SHU GLOBAL ที่มียอดขายถึง 50% ของรายได้ทั้งหมดของแบรนด์
ปั้นแบรนด์ยังไงให้ปัง และดังในหมู่เซเลป
จุดกำเนิดของการสร้างแบรนด์ SHU GLOBAL คุณป้อเล่าว่า จุดมุ่งหมายของการสร้างแบรนด์ คือ อยากให้ SHU เป็นที่รักของทุกคน และทุกคนก็รักในแก่นแท้ของ SHU ซึ่งแก่นแท้ของ SHU คือ เราจะเป็น Sensational, Empowering และ You can’t miss ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า เราจะเป็น Global Brand ที่มีภาพลักษณ์เป็น International เราจะเป็น Brand for Everyday ที่ใส่สบาย ใส่ได้ทุกวัน และเราจะเป็น Brand for Everyone ซึ่งทุกวันนี้ นอกจาก รองเท้าจะเป็นโปรดักส์เรือธงของ SHU GLOBAL ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์แฟชั่น ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า น้ำหอม รวมถึงธุรกิจในกลุ่ม Food & Beverage อีกด้วย คุณป้อเล่าอีกว่า การจะสร้างแบรนด์ให้ไปสู่ระดับสากลนั้น ต้องมีการวางกลยุทธ์ ยกตัวอย่าง คือ การทำรองเท้ารุ่นพิเศษเพื่อให้คนดังระดับโลกใช้ หรือการส่งรองเท้าไปให้เซเลปได้ทดลองใส่ โดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เป็นเหมือนการบาร์เทอร์ระหว่างกัน เคล็ดลับที่ทำให้เซเลประดับโลกยอมใส่รองเท้าของ SHU คือ 1.โปรดักส์ต้องดีและตอบโจทย์ 2.มีเทคนิคในการเจรจาต่อรองที่แยบยล 3.ต้องใส่ใจในแพคเกจจิ้ง และ 4.ใช้ PR Firm ที่เมืองนอก
สรุป สิ่งที่ทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ คือ การสร้าง Brand ให้แข็งแกร่ง วาง Positioning ให้ชัดว่าตัวตนของแบรนด์คืออะไร ซึ่งจะทำให้ 1.เป็นอิสระจากสงครามราคา 2.มียอดขายเพิ่มขึ้น 3.สวยเลือกได้ (สามารถเลือกได้ว่าจะทำธุรกิจกับใคร) 4.มีเสน่ห์กับนักลงทุน และ 5. เกิด Customer Royalty
เปิดมุมมอง CEO หญิงในแวดวงแฟชั่นอินดัสตรี
ด้วยความที่เป็นคนสร้างธุรกิจด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ การเป็น CEO มีเรื่องให้ Challenge ตลอดเวลา คุณป้อ เล่าว่า ประสบการณ์จะเป็นตัวสอนให้เรียนรู้ ว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคในแต่ละครั้งได้อย่างไร ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่พอผ่านมาได้เราก็เติบโตขึ้น ทำให้มองเห็นภาพที่กว้างขึ้นและรอบด้านขึ้น มาถึงตอนนี้คิดว่า อยากจะทำอย่างไรให้ธุรกิจมั่นคงและยั่งยืน คุณป้อได้เปรียบการทำธุรกิจเหมือนกับการเลี้ยงลูกว่า “เราเลี้ยงลูกเพราะเราอยากเห็นการเติบโต อยากให้ลูกเติบโตแบบมีเป้าหมาย ทำประโยชน์ได้ มีคุณค่าและยังเป็นที่รักมากกว่าที่ชัง แล้วเราก็ไม่ได้เลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกออกไปหาเงินได้เยอะๆ ก็เหมือนกับการสร้างแบรนด์ SHU เราไม่ได้แค่สร้างโปรดักส์และเซอร์วิส แต่เราสร้างแบรนด์เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดนั่นเอง”
หญิงแกร่งผู้ยืนหนึ่ง ฉายา “นางฟ้านายก” ในวงการดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซเมืองไทย
คุณกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ (คุณมิ้นท์) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) Thailand e-Business Center (TeC) และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นแท่นนายกสมาคมผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย หรือ สมาคมอีคอมเมิร์ซแห่งประเทศไทย (THECA: Thai e-Commerce Association) ในรอบ 17 ปี กล่าวว่า การเป็นทั้ง CEO และนายกสมาคมฯ รวมถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัวให้กับลูกทั้งสามคน เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด การที่ยืนอยู่ในธุรกิจที่ผู้ชายค่อนข้างแข็งแกร่งนั้น ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่จะมี Logical Thinking ที่ดี หากแต่ผู้หญิงเราเองก็มี Emotional Intelligence เป็นข้อได้เปรียบในการจัดการเรื่องยาก ๆ ได้ หากมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของการทำงาน เราจะต้องหารือกันอย่างตรงไปตรงมา ลดอีโก้ เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในโลกธุรกิจ และกับสังคมดิจิทัล
แชร์บทเรียนใช้ KOL: Key Opinion Leader ผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์ในจีนเป็นอย่างไรในปัจจุบัน รวมถึงการพาธุรกิจไทยทะยานไกลในแดนมังกร
คุณมิ้นท์ ได้แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับอาชีพ KOL ในจีนว่า KOL ถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมี KOL ที่ไลฟ์ขายของกว่า 150 ล้านแอคเคาท์ และ 10 ล้านแอคเคาท์ ไลฟ์ขายของมากกว่า 15 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายความว่า KOL คือ งานประจำที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และถือเป็นช่องทางขายสินค้าให้แก่เจ้าของธุรกิจได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้น KOL ในจีนจึงเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เลือกรับหรือไม่รับสินค้ามาไลฟ์ขายได้ คุณมิ้นท์ได้สรุปจากประสบการณ์ตรง “กฎ 9 ข้อที่จะทำให้ KOL ไลฟ์ขายของในประเทศจีน แล้วประสบความสำเร็จ” ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในไทยได้ดังนี้ ดังนี้
1.เลือกสินค้าที่ตรงกับภาพลักษณ์และ Branding ของ KOL
2. เลือกสินค้ามาไลฟ์ให้เกิดความน่าสนใจและคนติดตามดูได้ตลอดการไลฟ์
3. ปัจจัยสนับสนุน
ทำอย่างไรให้สุขทั้งงานและแฮปปี้ทั้งครอบครัว
ในฐานคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสาม คุณมิ้นท์ กล่าวว่า แม้จะทำงานแบบบ้าพลังตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ แต่ต้องรับบทบาทเป็นคุณแม่ในทุก ๆ วัน โดยเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์จะพยายามอยู่กับลูก ๆ ครอบครัว แล้วจะไม่เอาบรรทัดฐาน หรือ Standard “Work Life Balance” ของคนอื่นมาใช้กับตัวเอง แต่จะให้ความสำคัญกับครอบครัวและตัวเอง โดยใช้บรรทัดฐานที่วัดจากการที่พอตื่นนอนขึ้นมาในแต่ละวันแล้ว เราจะสามารถมีรอยยิ้มให้กับตัวเองได้เสมอ มีพลังบวกให้กับคนที่เรารัก นั่นคือ “Work Life Balance ในแบบฉบับของคุณมิ้นท์”
ในส่วนคุณป้อนั้น ยอมรับว่าทุกวันนี้ยังไม่ค่อยมี Work Life Balance เพราะกำลังเร่งสปีดธุรกิจ เนื่องจากไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เลยอยากทำทุกอย่างให้สำเร็จในตอนที่ยังพอมีแรง ดังนั้นจึงพยายาม Blend งานให้เข้ามาอยู่ในไลฟ์สไตล์ มี Mindset ที่ว่า การทำงาน ไม่ใช่การทำงาน แล้วจะทำให้ตัวเองไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และเมื่อมีเวลาก็จะเต็มที่กับลูก โดยการเลี้ยงลูกจะที่เน้นเรื่อง Mindset ถ้าเด็กมี Mindset ที่ดีทำอะไรก็จะดีไปเอง ;
เมื่อถามว่าในฐานะ CEO ต้องส่งพลังให้ลูกน้อง ในฐานะแม่ก็ต้องส่งพลังให้ลูก แล้วถ้าหากตัวเองเกิดหมดพลังจะทำอย่างไร?
คุณป้อเล่าว่า “ที่ผ่านมาไม่เคยท้อเพราะรู้ว่า ทุกปัญหามีทางออก แต่ถ้าหาทางออกไม่ได้ก็จะปล่อยวาง แล้วก็ค่อยเริ่มต้นใหม่ แต่ยอมรับว่ามีบ้างบางครั้งที่เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ เพราะร่างกายถดถอยตามวัย ถ้าอะไรที่ไม่เข้าใจก็จะเรียนรู้ต่อไป เช่นตัวเองไม่เก่งเรื่อง People Skill ก็แก้ไขด้วยการไปลงคอร์สอบรม เพื่อดึงศักยภาพทีมงานขึ้นมา บางทีถ้าปรับคนอื่นไม่ได้ ก็ปรับที่มุมมองของตัวเอง ลองมองอีกด้านหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพอื่นแทน
ขณะที่คุณมิ้นท์กล่าวว่า “ทีมงานเป็นคนสอนเรื่อง Norm ของคนญี่ปุ่นที่เรียกว่า “วาบิ ซาบิ” ให้เรามีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน ให้ขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มันจะทำให้จิตใจชุ่มชื่นขึ้น คุณมิ้นท์จะบอกกับตัวเองว่า 1.ห้ามเครียด ยิ้มเป็นอีบ้าบ้างก็ได้ 2.ให้แอบมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน บางครั้งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่เท่ากับการที่ลูกวิ่งมากอดแล้วบอกว่ารักมามี๊ 3.ให้อยู่กับตัวเอง 4.กินให้อิ่ม 5.คุยระบายกับเพื่อนที่สนิท 6.ในชีวิตไม่มีอะไรง่ายหรือยากมันขึ้นอยู่ที่มุมมอง 7.มองลบมองบวกไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องยิ้มกับตัวเองให้ได้ และรักตัวเองให้มากขึ้นทุกวันๆ
ตอนอายุ 55 ปี อยากมองเห็นตัวเองอยู่จุดไหน ทำอะไร
คุณมิ้นท์ได้เล่าถึง กระดาษโน้ตใบหนึ่งที่ได้เปลี่ยนความคิดของตัวเองไปตลอดกาลว่า “มีผู้จัดการคนหนึ่งเขียนโน้ตให้ว่า คุณมิ้นท์ทำดีมากที่สุดแล้ว อยากให้คุณมิ้นท์รู้สึกภูมิใจในตัวเองได้แล้ว อยากให้คุณมิ้นท์ลองปลดปล่อยตัวตนเล็กๆ ของตัวเองออกมา” เพราะกระดาษใบเล็กๆในวันนั้น ทำให้คุณมิ้นท์รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น “มาถึงตอนนี้ เลยอยากทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง อยากทำอะไรก็ทำ โดยที่ไม่ต้องแคร์เสียงใคร และในฐานะเป็นแม่ก็อยากให้ลูกภูมิใจในตัวเรา เป้าหมายของตัวเอง คือ อยากจากโลกนี้ไปโดยที่ลูกดูแลตัวเองได้ แล้วเราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้เท่าที่จะช่วย โดยที่ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญ”
คุณป้อกล่าวว่า อยากจะเป็นคนที่ให้โอกาสคนอื่นได้เติบโต อยากสร้างคนเก่าที่อยู่กับเรามานาน ด้วยการพัฒนาศักยภาพของเค้าให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงขึ้นอีกให้ได้ เพราะทุกวันนี้บริษัทโตเร็วมาก ทำให้ต้องมองหาคนใหม่มาเสริมทัพ แต่คนเก่าต้องไม่ทอดทิ้งเค้า ทำอย่างไรที่จะอัปสกีลคนเก่าแล้ว พัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ นี่คือ สิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ
แม้ว่าคุณป้อและคุณมิ้นท์จะเป็น CEO ที่ต่างธุรกิจ ต่างอุตสาหกรรม แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่มีร่วมกัน คือ การเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญหน้าปัญหาอุปสรรค มี Growth Mindset ที่มองโลกในแง่บวก เชื่อว่าล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ เชื่อมั่นในศักยภาพของคน และมีใจที่อยากจะแบ่งปัน พร้อมช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สัมผัสได้จากมุมมองและแนวคิดของ CEO หญิงเก่งและแกร่งทั้งสองคนนี้
ที่มา: หลักสูตร NIA X SCB Innovation-Based Enterprise (IBE) รุ่นที่ 4 Innovative Woman Enterprise เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสตรีไทยที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566