น้องมีบุญ ชวนรับบุญสงกรานต์ บูชาพระพุทธทั่วไทย

“ฟ้าใหม่แล้วล่ะนะน้อง สงกรานต์เร้าร้องทำนองเพลงโทน” ช่วงนี้ไปไหน เพื่อนๆ คงได้ยินเพลงนี้ ที่บอกให้เรารู้ว่าเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทยแล้ว โดยคำว่า “สงกรานต์” นั้นมาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่าน หรือเคลื่อนย้าย อันหมายถึง การย้ายของพระอาทิตย์ไปยังจักรราศีใดราศีหนึ่ง แต่ความหมายที่คนไทยนิยมใช้อ้างอิงถึง จะกล่าวเฉพาะวัน และเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายน นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวของนางสงกรานต์ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม หรือท้าวมหาสงกรานต์ ซึ่งธิดาทั้ง 7 นั้นเป็นนางฟ้าอยู่สวรรค์ มีหน้าที่ในการรับศีรษะของท้าวกบิลพรหมแก่รอบพระสุเทรุในแต่ละปี สลับสับเปลี่ยนกันไป กำหนดไว้หากวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันใดก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ และในปี พ.ศ.2566 นี้ ตรงกับวันศุกร์ นางสงกรานต์จึงเป็น นางกิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเครื่องประดับ  ภักษาหารคือกล้วยและน้ำ  อาวุธคู่กาย  พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์  พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ  เสด็จประทับยืนเหนือมหิงสา  (ควาย) ทำนายได้ว่า น้ำท่าบริบูรณ์ ส่วนธัญญาหาร พลาหาร มัจฉมังษาหาร จะบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์เช่นกัน ได้ฟังคำทำนายแล้ว น้องบุญก็ขอเชิญชวนเพื่อนๆ มาทำบุญ สะสมบุญเพิ่มเติม เพื่อให้มีแต่ความสุขสบายใจยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

songkran-donation-2566-4

วัดประดู่ฉิมพลี

เป็นวัดราษฎร์ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ มีชื่อเดิมว่า “วัดฉิมพลี” โดยคำว่าฉิมพลี แปลว่า “ต้นงิ้ว” เพราะพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นงิ้ว แต่ชาวบ้านมักเรียกว่าวัดประดู่นอก คู่กับวัดประดู่ใน (วัดประดู่ในทรงธรรม) ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กัน

วัดแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) เมื่อครั้งดำรงยศเป็นพระยาศรีพัฒนรัตนราชโกษา จางวางพระคลังสินค้า ได้ทำการจัดหาที่ดิน และก่อสร้างวัด ที่ใช้เวลานานถึง 8 ปีในการสร้างจนแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นวัดที่สร้างได้งดงาม และใหญ่กว่าวัดราษฎร์แห่งอื่น และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ ได้เลือกไปหาพระพุทธรูปที่มีลักษณะพุทธศิลป์ที่สวยงามเพื่อมาเป็นพระประธาน เป็นพระพุทธรูปที่มีศิลปะสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพักตร์เอิบอิ่ม ผิวองค์พระดั่งทองคำ ขนาดหน้าตักกว้าง 99 นิ้ว จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถ  และตั้งชื่อว่า หลวงพ่อสุโขทัย พระพุทธสัมพันธมุนี

ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐาน เจดีย์กลมทรงรามัญ, ศาลาราชสังวราภิมณฑ์  และประดิษฐานรูปหล่อเหมือนพระราชสังวราภิมณฑ์ หรือหลวงปู่โต๊ะ ภิกษุที่อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสยาวนานถึง 68 ปี เป็นเถราจารย์ที่ได้รับศรัทธาจากผู้คนมากมาย

ที่อยู่        1162 ซอยเพชรเกษม 15 ถนนเพชรเกษม แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

https://goo.gl/maps/GKLcV2N4qBtigCRY7

วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

วัดพระสิงห์วรมหาวิหารนั้น ชาวบ้าน มักเรียกสั้นๆ ว่า วัดพระสิงห์ มีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.1888 โดยกษัตริย์เชียงใหม่องค์ที่ 5 ของราชวงศ์มังราย หรือพญาผายู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของ พญาคำฟู ผู้เป็นพระราชบิดา แรกเริ่มมีชื่อว่า “วัดลีเชียงพระ” เพราะที่บริเวณหน้าวัดเป็นสถานที่ค้าขายของ จนกลายเป็นตลาดลีเชียงพระ จนกลายมาเป็นชื่อวัดเช่นกัน

ในบริเวณวัดเคยมีอาคารจตุรมุข แต่ภายหลังได้มีการสร้างวิหารหลวงขนาดใหญ่ในสมัยครูบาศรีวิชัยเป็นเจ้าอาวาส โดยใช้การผสมผสานระหว่างศิลปะรัตนโกสินทร์ และศิลปะล้านนา รวมถึงมีภาพเสือแทนปีขาลที่เป็นปีเกิดของครูบาศรีวิชัย และส่วนที่สำคัญ ห้ามพลาดหากได้มีโอกาสมาเยือน คือ “วิหารลายคำ” ซึ่งเป็นวิหารที่สร้างด้วยศิลปะล้านนาแท้ๆ ในระหว่างปีพ.ศ. 2358-2364 ตรงกับสมัยพญาธรรมลังกา หรือพระเจ้าช้างเผือก ที่ยังมีความสมบูรณ์ และมีเหลือเพียงไม่กี่แห่งแล้ว

ภายในวิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน พระสิงห์ หรือพระพุทธสิหิงค์ ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นช่วงปีพ.ศ.700 โดยกษัตริย์ 3 พระองค์จากกรุงลังกา และพระอรหันต์ 20 รูป เป็นผู้สร้าง และเมื่อปีพ.ศ.1931 พระเจ้าแสนเมืองได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ จนกลายเป็นที่ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหม่และในเทศกาลสงกรานต์ทุกปีมี พิธีอาราธนาอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ออกแห่ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการบูชา เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน

ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุที่สำคัญอีกมากมาย เช่น พระเจ้าทองทิพย์ พระศรีสรรเพชญ พระมหาธาตุเจดีย์ กู่มณฑปปราสาท และกู่อัฐิของพญาคำฟู

ที่อยู่        ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

https://goo.gl/maps/RVsUT8wHeR9RQckg9

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของภาคเหนือตอนล่าง เมื่อใช้หลักการของการพยากรณ์อากาศ สภาพเศรษฐกิจ และสังคม วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนกรุงสุโขทัย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดใหญ่” เป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม ตามที่ปรากฎบนหลักศิลาจารึกสุโขทัยว่า พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันธาตุสุคนธเจดีย์ และยังมีปรากฎในพงศาวดารเหนืออีกว่า “ในราวพุทธศักราช 1900 พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชาลิไท) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎก และคัมภีร์ศาสนาอื่นๆ จนช่ำชองแตกฉาน หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก พระองค์ได้ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน มีพระปรางค์อยู่กลาง มีพระวิหาร 4 ทิศ มีพระระเบียง 2 ชั้น และทรงรับสั่งให้ปั้นหุ่นหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง 3 หลัง”  ซึ่งวัดแห่งนี้ มีความงดงามทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และศิลปกรรม และหนึ่งในพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่ ก็คือ พระพุทธชินราช พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระที่สวยงามที่สุดของประเทศไทย จนได้รับการจำลองมากที่สุดด้วยเช่นกัน จนเมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ในปี พ.ศ.2458

พระพุทธชินราช หรือหลวงพ่อใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูง 7 ศอก กว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ในวิหารเก้าห้องที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ได้รับการบูรณะ ดูแลเป็นอย่างดีจนถือว่าเป็นวิหารที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งนึง และด้วยความเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้ ทำให้ผู้คนที่นับถือมักมาขอพร ให้คุ้มครอง ให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย และหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย นอกจากนี้ ที่วัดยังมีงานสมโภชพระพุทธชินราช ในช่วงวันมาฆบูชา หรือวันเพ็ญเดือน 3 เป็นประจำทุกปีอีกด้วย

ที่ตั้ง        92/3 ถนนพุทธบูชา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

https://goo.gl/maps/PxfzX8xeXxkgAwKA6

วัดพิกุลทอง

วัดเก่าแก่ของจังหวัดสิงห์บุรี สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2434 แต่เดิมมีชื่อว่า วัดใหม่พิกุลทอง แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดใหม่ ด้วยเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่วัดที่บูรณะขึ้นมาจากวัดร้าง แต่ปัจจุบันชาวบ้านพากันเรียกว่า วัดหลวงพ่อแพ (พระเทพสิงหบุราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี) อดีตเจ้าอาวาส เนื่องจากท่านเป็นพระที่ชาวบ้านเคารพรัก และศรัทธา จากการที่ท่านได้ทำประโยชน์ แก่พุทธศาสนาไว้มากมาย รวมถึงการพัฒนาวัดแห่งนี้ให้สวยงาม ร่มรื่น และสบายใจเมื่อได้เข้ามา

และหากเราขับรถมา จะมองเห็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9  ทรงพระราชทานพระนามว่า “พระพุทธสุวรรณมงคลมหามุนี” แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “หลวงพ่อใหญ่”  หน้าตักกว้าง 11 วา 2 ศอก สูง 21 วา 1 คืบ 3 นิ้ว ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ประทับนั่งบนพื้นฐานบัว และชุกชีที่ประดับด้วยโมเสกทองคำธรรมชาติชนิด 24K

สำหรับพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธศรีวิริยโสภิต พระพุทธรูปขนาดเล็กที่ประดิษฐานบนฐานสูงหลายชั้น  และนอกจากนั้น ยังมีพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อแพ เขมังกโร จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและเครื่องอัฐบริขารของหลวงพ่อแพ ตั้งแต่อดีตกระทั่งถึงปัจจุบันอีกด้วย

ที่อยู่        93 หมู่ที่ 3  ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี

https://goo.gl/maps/kFeSQjZxMVyFdTYp7

วัดไร่ขิง

วัดเก่าแก่ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำท่าจีน หรือแม่น้ำนครชัยศรี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2394 โดยพระธรรมราชานุวัตร (พุก) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาสมศักดิ์เป็นพระพุฒาจารย์ (พุก) โดยในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร แต่ได้กลับมาสร้างวัดไร่ขิง ซึ่งเป็นบ้านของบิดามารดา แต่วัดไม่ทันได้สร้างเสร็จ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ก็มรณภาพไปก่อนในปี พ.ศ. 2427 และได้มีผู้มาดูแลต่อคือพระธรรมราชานุวัตร ซึ่งเป็นหลานชายของท่าน สำหรับที่มาของชื่อวัดไร่ขิงนั้น เนื่องจากในบริเวณนี้มีชาวจีนมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก และนิยมปลูกขิงกันอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านจึงพากันเรียกชุมชนนี้ว่า “ไร่ขิง” เมื่อมีการสร้างวัด จึงตั้งตามชื่อหมู่บ้านว่า “วัดไร่ขิง” นั่นเอง

ภายในบริเวณวัดมีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อวัดไร่ขิง พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ บนฐานชุกชี 5 ชั้น อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน ล่องมาด้วยแพไม้ไผ่ทางแม่น้ำ เมื่อถึงวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ภายใน ซึ่งวันดังกล่าว ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันสงกรานต์ที่มีประชาชนมากมายมาทำบุญที่วัด ว่ากันว่า ในปะรำพิธีได้เกิดความอัศจรรย์ขึ้น แสงแดด และความร้อนระอุได้พลันหายไป เกิดเป็นเมฆดำ มีฝนฟ้าคะนอง และเป็นสายฝนลงมาให้ความชุ่มฉ่ำชื่นใจ ประชาชนที่มาในงานจึงแซ่ซ้องว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้าย คลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร แต่ก็มีบางตำนานที่เล่าขานว่าหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้น เป็น 1 ใน 5 ของพระพุทธรูปลอยน้ำ หรือปัญจภาคี ปาฏิหาริย์กระสินธุ์โน

และเมื่อปี พ.ศ. 2446 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เสด็จตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน และได้เสด็จมาที่วัดไร่ขิง จึงทรงตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดมงคลจินดาราม” ทั้งทรงใส่วงเล็บชื่อเดิมต่อท้ายจึงกลายเป็น “วัดมงคลจินดาราม (ไร่ขิง)” แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นมานานทำให้วงเล็บหายไป  เหลือเพียงคำว่า “ไร่ขิง” จึงต้องเขียนว่า “วัดมงคลจินดาราม-ไร่ขิง” แทน

ที่ตั้ง       ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

https://goo.gl/maps/hwUSp8H1g4v9YeTQ9

วัดตะเคียน

วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงพ.ศ.2335 โดยในช่วงแรกมีภิกษุมาจำพรรษาบ้างเป็นครั้งคราว สลับกับการเป็นวัดร้าง จนเมื่อสมัยหลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาวัดให้มีความเจริญรุ่งเรือง และสวยงาม เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน

ต่อมา ในสมัยที่พระครูสมุห์สงบเป็นเจ้าอาวาส ได้ต่อยอดพัฒนาดูแลวัด โดยการยกพระอุโบสถให้พ้นน้ำ และบูรณะใหม่ รวมถึงขยายศาสการเปรียญ ใช้ไม้สักทอง ยกสองชั้น สร้างเมรุเผาศพให้มีความทันสมัย และยังสร้างเตาเผาสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

โดยประชาชนโดยทั่วไป มักมาทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยการนอนโลงศพเพื่อต่อชะตา และลอดโบสถ์ วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดแห่งแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการลอดโบสถ์ โดยสร้างหัวเสือ และหัวมังกร ให้เป็นประตูเข้าออก และด้วยจิตศรัทธาของชาวบ้าน ก็มีสร้างมณฑปหลวงปู่แย้ม ให้เป็นที่สักการะของคนที่นับถือ และที่วัดได้มีจัดสร้างหลวงพ่อทันใจองค์ใหญ่ ขนาดหน้าตัก 2.49 เมตร ประดิษฐานอยู่ในศาลาจตุรมุข ทรงโบราณให้ผู้มาทำบุญเข้ามากราบไหว้ขอพรอีกด้วย

หลวงพ่อทันใจองค์นี้มีการจัดสร้างให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว และได้มีพิธีมหาพุทธาภิเษกในวันเดียวกัน เพื่อให้ทันใจสมชื่อ และเพื่อให้หลวงพ่อจะได้ประทานพรให้ได้ดังที่ขอทันใจ และในบริเวณวัดยังมีศาลเจ้าแม่ประกายทองประกายมาศ และต้นตะเคียนซึ่งมีความเก่าแก่อายุนับร้อยปีที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียวอีกด้วย

ที่อยู่        ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี

https://goo.gl/maps/Mj4y5Vxn7RM2bY7t7

วัดบางพลีใหญ่ใน

วัดเก่าแก่ของอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปีพ.ศ.2310 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะ โดยเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้อิสรภาพให้กับไทยได้อีกครั้ง และได้ขยายอาณาเขตประเทศ และสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “บางพลี” นั้น เนื่องจากพระองค์ได้ทรงกระทำพิธี พลีกรรมบวงสรวงนั้นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อวัดในสมัยอดีตว่า “วัดพลับพลาไชยชนะสงคราม”

โดยที่นี่ ยังเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย เป็นทองสำริดทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร ตามตำนานเล่าสืบต่อกันว่า เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ได้มีพระพุทธรูป 3 องค์ลอยตามน้ำเจ้าพระยาลงมาจากทางเหนือ ชาวบ้านเข้าใจว่า ชาวบ้านกรุงศรีอยุธยาอาจจะอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำ เพื่อหลบหนีข้าศึก เพราะในสมัยนั้นมีศึกสงครามบ่อยครั้ง ต่อมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ไปปรากฏยังสถานที่ต่างๆ องค์แรก ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม องค์ที่สองประดิษฐานที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา และองค์สุดท้ายได้ลอยตามลำน้ำเจ้าพระยา เข้าสู่คลองสำโรง ชาวบ้านพยายามจะอาราธนาขึ้นที่นั่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น จนได้ลองเสี่ยงทายโดยการใช้แพผูกชะลอองค์พระ และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" จนแพมาหยุดนิ่งที่วัดพลับพลาไชยชนะสงคราม ชาวบ้านจึงพากันอธิษฐานว่าหากหลวงพ่อโปรดจะคุ้มครองชาวบางพลี ก็ให้อาราธนาท่านขึ้นโดยง่าย ซึ่งก็เป็นไปดั่งคำอธิษฐาน จึงเป็นที่มาของการประดิษฐานหลวงพ่อโต ณ วัดแห่งนี้

ที่อยู่        130 หมู่ที่ 10 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

https://goo.gl/maps/aHvzNX8YTw3Rqc3K8

วัดเพชรสมุทรวรวิหาร

ชื่อเดิมของวัดแห่งนี้ คือ วัดศรีจำปา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีตำนานเล่าว่า เมื่อปีพ.ศ. 2307 ชาวบ้านแหลมได้อพยพมาตั้งบ้านเรือนบริเวณแม่กลอง เหนือวัดศรีจำปา และเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านแหลม” ตามชื่อหมู่บ้านเดิมที่เมืองเพชรบุรีที่จากมา และช่วยกันบูรณะวัดศรีจำปา เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน และเปลี่ยนชื่อวัดศรีจำปา เป็น วัดบ้านแหลม ซึ่งต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นวรวิหาร และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดเพชรสมุทรวรวิหาร

หลวงพ่อบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปยืน ปางอุ้มบาตร มีความสูง 2 เมตร 80 เซนติเมตร สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ยุคเดียวกับหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโตวัดบางพลี โดยหลวงพ่อบ้านแหลมเป็นหนึ่งในตำนานพระ 5 องค์ที่ลอยน้ำมา อันได้แก่ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา และหลวงพ่อวัดไร่ขิง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธา เสด็จนมัสการ และพระราชทานผ้าทอดิ้นทอง 2 ผืนเพื่อประดับไว้ที่องค์พระในวันสำคัญ เช่น วันสงกรานต์ วันที่วัดถวายกฐิน ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ได้ถวายบาตรแก้วสีน้ำเงิน เนื่องจากบาตรเดิมได้สูญหายในทะเลเมื่อคราวที่ชาวประมงลากอวนพบหลวงพ่อลอยมาในแม่น้ำแม่กลอง

ภายในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์สงฆ์ ที่จัดแสดงพระพุทธรูป พระเครื่องสมัยต่างๆ โบราณวัตถุ เครื่องลายคราม และธรรมมาสน์บุษบกสมัยกรุงศรีอยุธยา

สำหรับใครที่อยากเสริมอำนาจบารมี ให้มีแต่สิริมงคลในชีวิต ก็มักจะมาสักการะปิดทองคำเปลว และตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากองค์หลวงพ่อกัน หากผู้ใดสมหวังดังใจปรารถนาแล้ว ก็จะกลับมาแก้บนด้วยการจ้างคณะละครรำ ให้มารำถวายองค์หลวงพ่อ

ที่ตั้ง        ตำบลแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม

https://goo.gl/maps/pw5khNEEZqyGSWoo9

วัดมหัตตมังคลาราม

เดินทางลงสู่ภาคใต้ เพื่อสักการะวัดมหัตตมังคลาราม หรือวัดหาดใหญ่ใน แต่เดิมเมื่อปี พ.ศ.2488 ที่นี่จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์มาก่อน อีก 2 ปีต่อมาจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวัดอย่างเป็นทางการ และในปี พ.ศ.2497 ก็ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ภายในวัดแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ ที่มีความยาว 35 เมตร สูง 15 เมตร กว้าง 10 เมตร ถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก บริเวณฐานขององค์พระ มีศิลปะลายปูนปั้นสวยงามชดช้อยโดยรอบ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานนามให้ว่า “พระพุทธมหัตตมงคล” แปลว่า “พระพุทธเจ้าผู้ทรงบรรลุถึงความเป็นใหญ่ เป็นมงคล” โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ ในขณะที่ดำรงพระยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดนี้ ไว้ในพระราชานุเคราะห์ และพระราชทานนามวัดนี้ใหม่ว่า “วัดมหัตตมังคลาราม” ให้สอดคล้องกับนามของพระพุทธไสยาสน์ประจำวัด พร้อมด้วยพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้หล่อพระนามาภิไธยย่อ “ม.ว.ก.” ติดซุ้มประตูด้วย

นอกจากนี้ยังมีห้องพระใต้ฐานพระนอนอีก 1 ห้องใหญ่ๆ สามารถเข้าไปสักการะได้ และในบริเวณวัดก็ยังมีเรือพญานาค 7 เศียรจำลอง ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ในซุ้มสวยงาม ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นสบายใจยามที่เข้ามาในวัด รับรองว่า อิ่มบุญสุขใจเมื่อได้ไหว้พระขอพรจากวัดแห่งนี้แน่นอน

ที่ตั้ง        ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

https://goo.gl/maps/KujGK5s1MXZqeu5X9

> สแกน QR Code ทำบุญทันใจ

>> กด “ยอมรับ” ให้ธนาคารที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลรายการนี้ ให้แก่ กรมสรรพากร และ/หรือ หน่วยรับบริจาค เพื่อการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

>> ใส่จำนวนเงินบริจาค กดปุ่มยืนยัน เพียงเท่านี้ เงินก็จะถูกส่งไปเข้าบัญชีของวัดโดยตรง

ข้อมูลบริจาคที่ส่งไปกรมสรรพากรจะถูกนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเราสามารถคลิกดูรายละเอียดข้อมูลที่บริจาค E-Donation ไปแล้ว ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรได้ตลอด 24 ชั่วโมง ง่ายสะดวกทันใจ สายบุญยุคดิจิทัล

สามารถเลือกวัดที่ต้องการทำบุญเพิ่มเติม ผ่านการ สแกน QR Code และ SCB EASY APP  ได้ที่ >>

https://www.scb.co.th/th/personal-banking/other-services/e-donation/e-donation-religious-sites.html