ปัจจัยสำคัญทำให้ตลาดหุ้นยุโรปน่าสนใจ

นับตั้งแต่ประเทศยุโรปทยอยผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ที่คลี่คลายขึ้น เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนอาจยืดเยื้อ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่าเศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัวมากน้อยเพียงใดและส่งผลต่อตลาดหุ้นหรือไม่ เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียมากพอสมควร

เดือนมกราคมปี 2565 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจยุโรป (จีดีพี) ปีนี้อยู่ที่ระดับ 3.9% โดยมองว่าจะยังได้รับอานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปสามารถเปิดประเทศและทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ และหากดูเป็นรายประเทศ เช่น เยอรมัน ไอเอ็มเอฟประเมินว่าจีดีพีปี 2565 เติบโต 3.8% ฝรั่งเศส 3.5% อิตาลี 3.8% ถือเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับเดิมก่อนเกิดการแพร่ระบาด


สำหรับอัตราเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาล่าสุดอยู่ที่ระดับ 5.8% ถือว่าค่อนข้างสูงหากเทียบกับช่วงการแพร่ระบาด โดยปัจจัยสำคัญมาจากราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่มีท่าทีปรับในระยะเวลาอันใกล้


สำหรับการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ธนาคารกลางยุโรป มีแผนจะเข้าซื้อสินทรัพย์แบบปกติหรือ APP (Asset Purchase Program) ในอัตราเดือนละ 40,000 ล้านยูโรในเดือนเมษายน,  30,000 ล้านยูโรในเดือนพฤษภาคม และ 20,000 ล้านยูโร ในเดือนมิถุนายน ส่วนการเข้าซื้อสินทรัพย์ในไตรมาส 3 จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

ความน่าสนใจสำคัญหากสนใจลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป คือ ผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ดัชนี EURO STOXX600 รายงานกำไรบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง และสูงกว่าที่นักวเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ ทั้งหุ้นกลุ่มประกัน กลุ่มธนาคาร กลุ่มสาธารณูปโภค


Bloomberg ประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) ถูกปรับประมาณการขึ้นมากกว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งของหุ้นยุโรป แม้ว่าช่วงตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นยุโรปจะปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา แต่สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว แสดงให้เห็นว่านักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อในตลาดหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่ง


ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปยังเป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) การลงทุนตามหลัก ESG สังเกตจากบริษัทจดทะเบียนในดัชนี MSCI Europe ได้รับการประเมิน ESG Score อยู่ในระดับที่สูงกว่าบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก


นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบระดับราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานจากค่า P/E Ratio, P/BV Ratio), การเติบโตของกำไร และอัตราส่วนเงินปันผล พบว่าตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจแห่งหนึ่งในกลุ่มตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว


สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ควรเน้นลงทุนในธุรกิจที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ที่มีการดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและเติบโตในระยะยาว เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มธนาคาร หรือเน้นลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจ ESG และธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ เช่น อุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์ ประกัน เป็นต้น


ถึงแม้ว่าความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะยังคงไม่มีความแน่นอน แต่ประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะสั้น และอาจส่งผลกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาหุ้นยังอยู่ในระดับน่าสนใจและธุรกิจให้เลือกลงทุนหลากหลาย ตลาดหุ้นยุโรปจึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับนักลงทุนในระยะยาว