จีน…ยักษ์ใหญ่ที่มิควรมองข้าม

อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากการเติบโตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบสาธารณูปโภค ระบบขนส่งสาธารณะและด้านอื่นๆ จากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้จีนเป็นประเทศที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งสงครามการค้าและโควิด-19 แต่ก็เป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากโควิด-19 แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถนำวัคซีนมาใช้ได้จริงก็ตาม
 

โดยสิ่งหนึ่งที่สร้างโอกาสการลงทุนในประเทศจีน นอกเหนือจากสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกคือ การที่มีจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มากกว่า 1,000 ตัว ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ และส่งผลให้ตลาดมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากสำหรับตลาดทุน การลงทุนในจีนผู้จัดการกองทุนมักจะใช้ MSCI China หรือ MSCI China All Shares เป็นดัชนีเทียบวัด ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดในการลงทุนของแต่ละผู้จัดการกองทุน 

โดยทั้ง 2 ดัชนีมีส่วนประกอบของหลักทรัพย์ที่ซื้อขายใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ 1) ตลาด A-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เน้นลงทุนในธุรกิจการบริโภคอุปโภคภายในประเทศ 2) ตลาด H-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันและลงทุนระยะยาว และ 3) ตลาด ADR คือบริษัทที่ประกอบธุรกิจในจีน แต่จดทะเบียนซื้อขายในสหรัฐฯ 

 

เมื่อเราย้อนไปดูในอดีต จะเห็นได้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว Factor แต่ละตัวก็จะสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น เมื่อสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว Value มักจะเป็นตัวที่สร้างผลตอบแทนได้ดีเมื่อเทียบกับ Factor อื่นๆ ในขณะที่ Quality จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงของสภาวะเศรษฐกิจทรงตัวหรือชะลอตัว เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราทราบแบบนี้แล้ว จึงเป็นโอกาสที่เราสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้ดีขึ้นไปอีก ด้วยการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนตาม Factor ตามช่วงเวลา หรือที่เรียกว่า Factor Rotation

china_big1

อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากการเติบโตในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบสาธารณูปโภค ระบบขนส่งสาธารณะและด้านอื่นๆ จากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้จีนเป็นประเทศที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจีนได้ประสบกับปัญหาต่างๆ ทั้งสงครามการค้าและโควิด-19 แต่ก็เป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากโควิด-19 แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถนำวัคซีนมาใช้ได้จริงก็ตาม 

 

โดยสิ่งหนึ่งที่สร้างโอกาสการลงทุนในประเทศจีน นอกเหนือจากสภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกคือ การที่มีจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มากกว่า 1,000 ตัว ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ และส่งผลให้ตลาดมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากสำหรับตลาดทุน การลงทุนในจีนผู้จัดการกองทุนมักจะใช้ MSCI China หรือ MSCI China All Shares เป็นดัชนีเทียบวัด ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดในการลงทุนของแต่ละผู้จัดการกองทุน 

 

โดยทั้ง 2 ดัชนีมีส่วนประกอบของหลักทรัพย์ที่ซื้อขายใน 3 ตลาดหลัก ได้แก่ 1) ตลาด A-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เน้นลงทุนในธุรกิจการบริโภคอุปโภคภายในประเทศ 2) ตลาด H-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันและลงทุนระยะยาว และ 3) ตลาด ADR คือบริษัทที่ประกอบธุรกิจในจีน แต่จดทะเบียนซื้อขายในสหรัฐฯ 
 

เมื่อเราย้อนไปดูในอดีต จะเห็นได้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว Factor แต่ละตัวก็จะสร้างผลตอบแทนได้มากน้อยต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น เมื่อสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว Value มักจะเป็นตัวที่สร้างผลตอบแทนได้ดีเมื่อเทียบกับ Factor อื่นๆ ในขณะที่ Quality จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงของสภาวะเศรษฐกิจทรงตัวหรือชะลอตัว เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราทราบแบบนี้แล้ว จึงเป็นโอกาสที่เราสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้ดีขึ้นไปอีก ด้วยการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนตาม Factor ตามช่วงเวลา หรือที่เรียกว่า Factor Rotation

 

บทความโดย คุณพูนศักดิ์ โล่ห์สุนทร
 Executive Director กลุ่มจัดการลงทุน Machine Learning บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

 

ขอบคุณข้อมูลจาก The Standard Wealth