ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ประเทศไทยหลังโควิด-19 ตอนที่ 2 : โอกาสธุรกิจและทางรอด
ตอนที่ 2
จากบทความ ประเทศไทยหลังโควิด-19 ตอนที่ 1 ผลกระทบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานไทย ในตอนที่ 2 นี้มาดูกันว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจะต้องทำอย่างไรให้ไปต่อได้ถึงตอนที่อุตสาหกรรมฟื้นตัว ธุรกิจแบบไหนที่จะอยู่รอดในช่วงนี้ New Normal ทำให้ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร มนุษย์เงินเดือนต้องรีสกีลเพิ่มเสริมทักษะใหม่อย่างไร ฟังมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่จะนำผลงานวิจัยทั้งของไทยและต่างประเทศมาวิเคราะห์ให้ผู้ประกอบการและมนุษย์เงินเดือนได้เตรียมพร้อมรับมือหลังวิกฤตโควิดสิ้นสุดลง
ธุรกิจไหนรอด-ร่วง ช่วงโควิด
ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ดร.ยรรยง มองว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะมีโอกาส ต้องมองให้ขาดว่าธุรกิจอะไรที่สามารถเติบโตได้และได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด จากงานวิจัยพบว่ามี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจสื่อสาร 2.กลุ่มค้าปลีก และ 3.กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม โดยต้องทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไป เพราะคนเริ่มเคยชินกับการสั่งซื้อออนไลน์ที่สะดวกรวดเร็ว ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ต้องระวังและไม่ควรผลีผลามเพราะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจยานยนต์ พวกนี้คือ กลุ่มเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง แต่ไม่ใช่จะทำธุรกิจไม่ได้ต้องรอจังหวะที่เหมาะสม หลังจากไตรมาส 3 – 4 ของปี 2563 ถึงจะเริ่มมองเห็นการฟื้นตัวแต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ดร.ยรรยง กล่าวอีกว่า อยากให้ลองเรียนรู้จากประเทศต่างๆ ที่มีวิกฤตจะเห็นว่ามี Pattern บางอย่างที่คล้ายคลึงกัน อย่างกลุ่มเอเชียจากการสำรวจพบว่าผู้บริโภคมีความต้องการสินค้า FMCG บางประเภทเพิ่มสูงมากขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้มีการกักตุนสินค้าเพราะกังวลว่าจะขาดแคลน หากภาคธุรกิจต้องหยุดการผลิต โดยสินค้าที่ซื้อเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยส่วนบุคคล 48% ผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาหารเสริม 45% และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน 40% รวมถึงพฤติกรรมของคนจากสถานการณ์โควิด ทำให้เกิดการซื้อของออนไลน์ 32% การใช้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง 42% และการสั่งอาหาร Delivery 30%
ในขณะที่กลุ่มสินค้าที่ซื้อน้อยลง ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ 30% สินค้าฟุ่มเฟือย 27% เนื้อสัตว์และอาหารทะเล 21% รวมไปถึงพฤติกรรมที่ทำน้อยลง ได้แก่ การออกนอกบ้าน 52% การออกไปกินข้าวนอกบ้าน 52% หรืออย่างในสหรัฐอเมริกายังมี Trigger Point ที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมในการใช้จ่าย โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น เช่น อาหารและยารักษาโรค โดยมีสัดส่วนการซื้อเพิ่มมากขึ้นกว่า 50% และมีพฤติกรรมในการซื้อของออนไลน์ ส่วนการลดค่าใช้จ่ายจะเป็นด้านการท่องเที่ยว 56% รวมถึงด้านความบันเทิงและการซื้อเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ลดลงกว่า 30%
New Normal ความปกติใหม่ที่คุ้นเคย
ดร.ยรรยง ให้ความเห็นในเรื่อง New Normal กับพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงเพราะความเคยชินเมื่อทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ ในระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะกลายเป็น New Normal แต่ไม่ใช่ทุกพฤติกรรมจะกลายเป็น New Normal ไปทุกอย่าง นอกจากนี้ แนวโน้มพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงกักตัวอยู่กับบ้าน ได้แก่ การดูวิดีโอสตรีมมิ่ง , การเล่นเกมออนไลน์ , การใช้จ่ายเงินผ่าน e-Payment , การสั่งอาหาร Delivery, การทำอาหารกินเองที่บ้าน รวมไปถึงการใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมแต่งบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ , Renovate บ้านให้เป็นโฮมออฟฟิศ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมใหม่คนในสังคม
ดร.ยรรยงยังกล่าวอีกว่า เมื่อมีวิกฤตมักมี New Normal ตัวอย่างเช่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ชายถูกเกณฑ์ออกไปเป็นทหารจำนวนมาก ทำให้จากปกติผู้หญิงเคยอยู่แต่บ้าน ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้เกิด New Normal ที่ผู้หญิงออกนอกบ้านไปทำงาน หรืออย่างเหตุการณ์ 911 ที่มีการก่อการร้ายทำให้เกิดมาตรฐานการบินในเรื่องการป้องกันก่อการร้ายและความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น หรือวิกฤตโรคซารส์ ทำให้ e-Commerce ในจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์เติบโต เพราะคนต้องซื้อของออนไลน์ ส่วนประเทศไทย ดร.ยรรยง มองว่า New Normal จะเป็นเรื่องของการใช้ออนไลน์หรือเทคโนโลยีในเรื่องต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
“รู้ใจ” เทคนิคพาธุรกิจฝ่าโควิด
กับคำถามที่ว่าในช่วงนี้ควรเริ่มทำธุรกิจใหม่หรือไม่ ดร.ยรรยง มองว่า ธุรกิจหลังโควิดจะต้องให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องเข้าใจลูกค้า รู้ใจลูกค้าว่าความต้องการใหม่คืออะไร ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบให้เข้ากับพฤติกรรมใหม่ เช่น ร้านอาหาร เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังชอบออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารมากกว่าจะซื้อกลับบ้าน เพราะได้ทั้งความสดใหม่และบรรยากาศของร้าน แต่ต้องมีการขายผ่านออนไลน์ด้วย เพราะคนเคยชินกับการสั่งออนไลน์แล้ว หรือห้างสรรพสินค้าต้องสร้างจุดเด่นให้คนอยากออกไปเดินห้าง สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าการซื้อออนไลน์ก็จะทำให้คนเลือกที่จะมาเดินห้างมากขึ้น เป็นต้น
ชี้ทางรอดธุรกิจโรงแรม
การระบาดของโควิดทำให้ภาคธุรกิจโรงแรมมีบาดแผลลึกยากที่จะเยียวยาให้ฟื้นกลับมาโดยเร็ว ดร.ยรรยง มองว่า ต้องค่อยเป็นค่อยไปคาดว่าประมาณกลางปีหน้า 2564 เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีเพราะจุดเปลี่ยนของวิกฤตโควิดคือต้องผลิตวัคซีนได้สำเร็จ ธุรกิจโรงแรมก็จะดีขึ้นตามมา แล้วในช่วงนี้ต้องปรับตัวอย่างไร สิ่งแรก คือ การบริหารจัดการทางการเงิน ต้องดูแลสภาพคล่องอย่างใกล้ชิด บริหารบัญชีค้างจ่ายให้มีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย จ้างงานเท่าที่จำเป็น ลดสินค้าคงคลัง แม้จะดูเหมือนว่าธุรกิจโรงแรมต้องใช้เวลากว่าจะฟื้นตัว แต่ ดร.ยรรยง แนะว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ควรนิ่งเฉย ควรปรับตัวใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่
1.การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการให้บริการ
ได้แก่ New Service & Hygiene ในด้านการให้บริการและการทำความสะอาดผู้เข้าพักจะยินดีรับการบริการแบบไม่มีการสัมผัส (Contactless Services) มากขึ้น รวมถึงการทำความสะอาดห้องพักและพื้นที่ต่างๆ ด้วยมาตรฐานใหม่ , Digitalization Accelerated ผู้เข้าพักจะต้องการใช้เทคโนโลยีภายในโรงแรมมากขึ้นเพื่อลดการสัมผัสใกล้ชิด เช่น ระบบโมบายเช็คอิน หรือระบบ e-Concierge ที่ใช้จองบริการต่างๆ ภายในโรงแรม ทำให้ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีการบริการมากกว่าแต่ก่อน
2.การเพิ่มความยืดหยุ่นของรายได้
ได้แก่ More Thai Guest เพิ่มสัดส่วนรายได้ผู้เข้าพักชาวไทยมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากต่างชาติเพียงอย่างเดียว ทำให้เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานได้หากเกิดเหตุการณ์ผิดปกติในอนาคต , Non -Room Revenue การเพิ่มรายได้จากบริการอื่นๆ เช่น สปา ฟิตเนต ห้องอาหาร ห้องประชุม จะมีบทบาทต่อการดำเนินงานของโรงแรมมากขึ้นในอนาคต เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากห้องพักเพียงอย่างเดียว
จุดขายใหม่โอกาสทองท่องเที่ยวไทย
ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็นร้อยละ 12 ของ GDP แน่นอนว่าสถานการณ์โควิดทำให้ไทยขาดรายได้ แต่หากมองในแง่ดี ไทยมีจุดได้เปรียบจากความเข้มแข็งในด้านการแพทย์และสาธารณะสุข ดร.ยรรยง มองว่า หลังโควิดไทยยังมีรูมที่ถือว่าเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนไทยอีก เนื่องจากมีชื่อเสียงในด้าน Medical & Wellness Tourism ถือเป็นโอกาสในด้านการแพทย์ การรักษาฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม รวมไปถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางด้วยตัวเอง หรือ FIT (Free and Independent Traveler) จะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาเที่ยวหลังโควิด จึงเป็นโอกาสที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะใช้วิกฤตนี้สร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น
วิชาเอาตัวรอดของมนุษย์เงินเดือน
ก่อนจะเกิดโควิดก็มีกระแส Disruption ในภาคธุรกิจต่างๆ ทำให้ต้องปรับ Business Model และยิ่งมีโควิดก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ Disrupt ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ในส่วนของมนุษย์เงินเดือน ดร.ยรรยง กล่าวว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ การบริหารความเสี่ยง โดยจะต้องมีสภาพคล่องเพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตัวเองไปได้อย่างน้อย 6 เดือนหากเกิดตกงานกะทันหัน ควรลดรายจ่าย ไม่ก่อหนี้เพิ่ม หารายได้เสริม และในช่วงที่กักตัวอยู่กับบ้านควรลงทุนกับตัวเองเสริมความรู้ เพิ่มทักษะใหม่ที่ตลาดแรงงานต้องการ ทำให้เพิ่มโอกาสให้ตัวเองสามารถออกไปหางานใหม่ได้ หรืออาจคิดริเริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองจากทักษะใหม่ที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม
ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบคงจะพอมองเห็น New Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไทยหลังโควิดสิ้นสุดลง ใครปรับตัวได้เร็ว ตอบสนองได้ทันตามความต้องการใหม่ของผู้บริโภค รวมทั้งใช้เทคโนโลยีสร้างโอกาสทางธุรกิจ ก็จะสามารถยืนหยัดและอยู่รอดได้ ขณะที่มนุษย์เงินเดือนก็เป็นโอกาสที่จะสะสมต้นทุนความรู้ เพิ่มทักษะใหม่ทำให้แข็งแกร่งขึ้น ดียิ่งขึ้นและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือมนุษย์เงินเดือน หากรู้จักปรับตัว พร้อมเรียนรู้ เพิ่มทักษะใหม่อยู่เสมอ เมื่อโอกาสมาถึงความสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
ที่มา : SCBTV ประเทศไทยหลังโควิด-19 เตรียมรับมือผ่านมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ทาง Facebook SCB Thailand วันที่ 7 พฤษภาคม 2563