ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
SSF RMF เลือกให้ดี เลือกที่ใช่
หากพูดถึงสินทรัพย์ที่มนุษย์เงินเดือนใช้เป็นแหล่งเงินออมหรือลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย ก็คือ กองทุนรวม SSF และ RMF แต่ถึงแม้หลายคนจะคุ้นเคยและลงทุนในกองทุนดังกล่าว แต่อาจเกิดความผิดพลาดจนต้องคืนภาษีที่ได้รับการลดหย่อนไปแล้ว และต้องเสียค่าปรับตามที่กรมสรรพากรกำหนด
การผิดเงื่อนไขการลงทุน
การผิดเงื่อนไขของ SSF ในกรณีต่าง ๆ เช่น -ซื้อเกินสิทธิลดหย่อนทางภาษี -ขายคืนก่อนครบกำหนด (ลงทุนมากกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ) |
การผิดเงื่อนไขของ RMF ในกรณีต่าง ๆ เช่น -ซื้อเกินสิทธิลดหย่อนทางภาษี -ระงับการซื้อเกิน 1 ปีติดต่อกัน -ขายคืนก่อนอายุครบ 55 ปี แต่ลงทุนมากกว่า 5 ปี -ขายคืนก่อนอายุครบ 55 ปี และลงทุนน้อยกว่า 5 ปี -ขายคืนเมื่อครบอายุ 55 ปี แต่ลงทุนน้อยกว่า 5 ปี |
ที่มา : SSF & RMF แฝดคู่ใหม่ใช้ลดหย่อนภาษี, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ก่อนตัดสินใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้านการออมเพื่อการเกษียณจะมี 5 ประเภท ได้แก่ SSF, RMF, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (หรือ กบข. และกองทุนสงเคราะห์ครูฯ) โดยวงเงินการออมเพื่อการเกษียณเป็นวงเดียวกัน ซึ่งรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ดังนั้น ควรคำนวณล่วงหน้า เริ่มจากประเมินเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (หรือ กบข. และกองทุนสงเคราะห์ครูฯ) เพราะเงินก้อนนี้จะถูกหักจากเงินเดือนทุกเดือน จากนั้นคำนวณว่ายังเหลือสิทธิในการซื้อ SSF, RMF และประกันชีวิตแบบบำนาญเท่าไหร่
จากนั้นพิจารณาเงื่อนไขการซื้อและการขาย โดยการซื้อ SSF ลงทุนสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในปีภาษีนั้น และไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ขณะที่การซื้อ RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี โดยเว้นได้ไม่เกิน 1 ปี
สำหรับการขาย SSF เมื่อซื้อแล้วต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปี นับแบบวันชนวัน ตั้งแต่วันที่ซื้อ โดยใช้หลักนับแยกเป็นกองที่ซื้อ “เข้าก่อน ออกก่อน” เช่น กองทุน SSF ที่ซื้อวันที่ 1 เมษายน 2565 จะขายได้วันที่ 2 เมษายน 2575 กองทุน SSF ที่ซื้อวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 จะขายได้วันที่ 2 พฤษภาคม 2575 เป็นต้น
ขณะที่การขาย RMF เนื่องจากเงื่อนไขการถือครองมีสองส่วน คือ 5 ปี และ 55 ปีบริบูรณ์ กรณี 5 ปี จะนับจาก RMF ที่ซื้อครั้งแรก ไม่ได้นับแยกเป็นรายกองเหมือน SSF โดยนับแบบวันชนวัน (ไม่ใช่ปีปฏิทิน) ส่วนกรณีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ต้องนับให้ครบวันเกิด ซึ่งมีความเข้าใจผิดด้วยการนับเป็นปีปฏิทินว่าปีนี้ถือว่าอายุครบ 55 ปีแล้วสามารถขายก่อนวันเกิด ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไข คำแนะนำ คือ ควรขายให้พ้นวันเกิดไปแล้ว (ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
นอกจากนี้ กรณีที่ซื้อ RMF ไม่ได้ต่อเนื่องทุกปี เช่น ซื้อปีเว้นปี อาจเข้าใจว่าสามารถขายได้เพราะเข้าใจว่าครบ 5 ปี
ความจริง คือ การนับ 5 ปี ไม่ใช่เพียงจำนวนปีที่ถือครองแต่ต้องนับเฉพาะปีที่ลงทุนเท่านั้น หากปีไหนไม่ลงทุนก็ไม่นับ ซึ่งอาจเข้าใจว่าใช้สิทธิซื้อแล้วหยุดปีเว้นปีและเมื่อครบ 5 ปีก็ขายได้ ซึ่งกรณีนี้จะนับปีลงทุนท่านั้น
นับการถือครอง กรณีลงทุนไม่ต่อเนื่องทุกปี |
นับการถือครอง กรณีลงทุนต่อเนื่องทุกปี |
||
ปี |
|
ปี |
|
2565 |
ซื้อ |
2565 |
ซื้อ |
2566 |
ไม่ซื้อ |
2566 |
ซื้อ |
2567 |
ซื้อ |
2567 |
ซื้อ |
2568 |
ไม่ซื้อ |
2568 |
ซื้อ |
2569 |
ซื้อ |
2569 |
ซื้อ |
2570 |
ไม่ซื้อ |
ถือหน่วยลงทุนครบ 5 ปี |
|
2571 |
ซื้อ |
|
|
2572 |
ไม่ซื้อ |
|
|
2573 |
ซื้อ |
|
|
ถือหน่วยลงทุนครบ 5 ปี |
|
สำหรับวิธีการลงทุน RMF และ SSF ทำได้ 2 วิธี ได้แก่
1.ลงทุนเป็นเงินก้อน (Lump Sum) ด้วยการจับจังหวะลงทุนตามที่ตัวเองประเมินว่าเหมาะสม ข้อดีคือหากเข้าถูกจังหวะก็จะมีต้นทุนต่ำ ข้อเสียคือ หากเข้าผิดจังหวะอาจทำให้มีต้นทุนสูง ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีความชำนาญในการลงทุนและมีเงินลงทุนจำนวนสูง
2.ทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA)
เป็นวิธีการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กัน ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกวันที่ 1 ของแต่ละเดือน เดือนละ 1,000 บาท เป็นต้น เหมาะกับผู้ที่มีเงินลงทุนไม่มาก ไม่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสาร
ก่อนตัดสินใจลงทุน SSF และ RMF ควรสำรวจตัวเองก่อนว่าพร้อมลงทุนหรือไม่ เพราะทั้งสองกองทุนนี้เป็นการลงทุนระยะยาว เมื่อลงทุนไปแล้วต้องถือหน่วยลงทุนนานหลายปี ที่สำคัญไม่ควรมีเป้าหมายลงทุนเพื่อประหยัดภาษีเท่านั้น เพราะกองทุนดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยในเรื่องของการเก็บออมเงินระยะยาวเป็นหลัก