ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
SSF พิเศษ ต่างกับ SSF ปกติอย่างไร ใครควรลงทุน
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ผู้ลงทุนใน Super Saving Fund หรือ SSF กองพิเศษ สามารถนำเงินที่ลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มถึง 2 แสนบาท ก็คงสร้างความดีใจให้กับนักลงทุนหลายๆ คนไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่ ก็อาจจะมีความสงสัยและมีคำถามในใจอยู่ว่า “ SSF แบบพิเศษ จะต่างกับกองทุน SSF แบบปกติอย่างไร และใครบ้างควรลงทุนในกองนี้? ” บทความนี้มีคำตอบ
เงื่อนไขการลงทุน |
กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund, SSF) |
Retirement Mutual Fund, RMF |
|
แบบพิเศษ |
แบบปกติ |
||
วงเงินที่ได้รับสิทธิลดหย่อน |
ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินได้ แต่ลดหย่อนสูงสุดได้ไม่เกิน 200,000 บาท |
30% ของเงินได้พึงประเมิน ลดหย่อนสูงสุดได้ไม่เกิน 200,000 บาท |
30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท |
เงื่อนไขวงเงินลดหย่อน |
ไม่มี |
นับรวม RMF, SSF, PVD, กบข. ประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วไม่เกิน 500,000 บาท |
|
ระยะเวลาถือครอง |
10 ปีนับจากวันที่ซื้อ |
10 ปีนับจากวันที่ซื้อ |
ขายได้เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี แต่ต้องถือครองมาแล้ว 5 ปีนับจากวันซื้อครั้งแรก |
ปีที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี |
ต้องซื้อระหว่าง 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2563 เท่านั้น |
ต้องซื้อระหว่างปี 2563 - 2567 |
ลงทุนได้เรื่อยๆ ยังไม่มีข้อกำหนดในการสิ้นสุดการลงทุน |
หลักทรัพย์ที่ลงทุน |
ลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% |
ลงทุนได้ทุกหลักทรัพย์ |
ลงทุนได้ทุกหลักทรัพย์ |
จำนวนซื้อขั้นต่ำ |
ไม่มี/ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี |
ไม่มี/ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี |
ไม่มี/ ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (เดิมซื้อขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาท) |
ใครเหมาะที่จะลงทุนใน SSF พิเศษ?
ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุน SSF พิเศษ คุณควรพิจารณาเรื่องต่างๆ นี้ก่อน
1. ช่วงอายุและระยะเวลาในการลงทุน
หากคุณอายุน้อยกว่า 45 ปี เมื่อคำนวณระยะเวลาในการลงทุนแล้ว การซื้อกองทุน SSF พิเศษก็น่าจะเหมาะกว่ากองทุน RMF เพราะระยะเวลาลงทุนสั้นกว่า คือ ถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อก็สามารถขายคืนได้แล้ว ต่างจากกองทุน RMF ที่ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็มนับจากวันลงทุนวันแรกด้วย จะเห็นได้ว่า หากลงทุน RMF ตามเงื่อนไข กว่าจะขายคืนได้ก็ต้องอายุอย่างน้อย 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเท่ากับว่าจะลงทุนมากกว่า 10 ปีขึ้นไป
นอกจากนี้จะต้องพิจารณาถึงสภาพคล่องของคุณด้วย เนื่องจากเงื่อนไขในการลงทุน คือ ต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ โดยนับแบบวันชนวัน คุณจึงต้องมั่นใจว่าจะสามารถถือหน่วยลงทุนจนครบกำหนดได้ โดยไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องจนต้องขายหน่วยลงทุนออกมาก่อนครบกำหนด
2.
ความสามารถในการรับความเสี่ยงจากการลงทุน
ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนในกอง SSF พิเศษนี้จะต้องลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ขึ้นไป (หรือเท่ากับระดับความเสี่ยงระดับ 6 จากสูงสุดระดับ 8) รวมถึงไม่สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุน SSF ปกติได้ หากต้องการสับเปลี่ยนจะสับเปลี่ยนได้เฉพาะในกลุ่ม SSF พิเศษด้วยกันเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องมีความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงของสิ่งที่เรากำลังจะลงทุนด้วย และเมื่อเปรียบเทียบกับ SFF แบบปกติ และ RMF จะเห็นว่าทั้ง SSF แบบปกติ และ RMF สามารถลงทุนได้ในทุกหลักทรัพย์ ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ดีกว่า
3. ฐานภาษี
หากคุณมีรายได้ที่ค่อนข้างสูง ตั้งแต่ประมาณ 80,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งหากยังไม่ได้มีสิทธิ์ลดหย่อนอะไร จะทำให้คุณเสียภาษีในระดับ 20% ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ทั้งปีที่ค่อนข้างสูง และมีภาระที่ต้องเสียภาษีในฐานที่สูง แนะนำให้ซื้อกองทุน SSF พิเศษเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น อีกทั้งในช่วงวิกฤตไวรัสคิด-19 ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน และดัชนีได้ตกลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน เพราะจะทำให้คุณมีโอกาสได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำด้วย และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่สูงขึ้น เพราะเมื่อวิกฤตผ่านไป ราคาของหุ้นที่ตกลงไปมาก ก็จะฟื้นตัวกลับมาได้ในอนาคต
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ น่าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นแล้วว่า ควรลงทุนใน SSF หรือไม่…และ SSF แบบไหนที่เหมาะกับคุณ ขอให้โชคดีในการลงทุน
บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร
ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด