ซื้อหุ้นเป็น ต้องขายให้เป็น

หากพูดถึงความผิดพลาดประการหนึ่งของการลงทุนหุ้นคงหนีไม่พ้นการที่นักลงทุน “ขาย” ไม่เป็น ถ้าไม่ลืมขาย ก็ขายผิดจังหวะ หรือมีความโลภเข้ามา เช่น ตั้งใจว่าจะขายที่ราคา 10 บาท แต่เมื่อราคาถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้กลับเปลี่ยนใจเพราะมั่นใจว่าราคาจะวิ่งขึ้นต่อไป ถ้าเป็นไปตามคาดก็คงไม่มีอะไร แต่ถ้าราคากลับปรับลดลง เป้าหมายที่วางเอาไว้อาจล้มเหลว  


โจเซฟ เคนเนดี (Joseph Kennedy) บิดาของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี (John F. Kennedy) นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พูดเอาไว้ว่า “นักลงทุนที่ล้มเหลวมักหวังว่าตัวเองจะขายหุ้นได้ตอนที่ราคาวิ่งขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด ขณะที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะขายหุ้นตอนที่ราคาหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไป”


หมายความว่า หากขายหุ้นด้วยราคาและเวลาที่เหมาะสม นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนและช่วยลดโอกาสการสูญเสียลงได้ และปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นคือ

1.ได้ 3 เสีย 1


วิลเลี่ยม เจ โอนีล (William J. O’Neil) อดีตมาร์เก็ตเตอร์ซึ่งผันตัวมาเป็นนักลงทุนและประสบความสำเร็จติดอันดับต้นๆ ของโลกคนหนึ่ง มีกฎการ “ขายหุ้น” ประจำตัวว่าให้ทำตามอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ระหว่างการขายทำกำไร (Take Profit) และการขายตัดขาดทุน (Stop Loss) นั่นคือ ถ้าทำกำไรที่ 20% - 50% ก็ให้ขายทำกำไร แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นราคาปรับลดลง 7% - 8% ก็ให้ขายตัดขาดทุนทันที เพราะสมมติว่าหากนักลงทุนเลือกหุ้นถูกตัวทำกำไรในระดับ 20% - 50% ได้ 3 – 4 ครั้ง หมายถึงทำกำไรได้เกือบ 100% หรือมากกว่า เช่นเดียวกันถ้าเกิดความผิดพลาดแล้วขายตัดขาดทุนให้เร็วจะเสียหายเพียงเล็กน้อย


ยกตัวอย่าง ซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 8 บาท และตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าถ้าได้กำไร 20% หรือปรับขึ้นไปที่ 9.60 บาท จะขายทำกำไร แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ นั่นคือ ราคาหุ้นปรับลดลงไป 7% หรือปรับลงไปที่ 7.44 บาท จะขายตัดขาดทุน

 

2.ตลาดหมี อย่าโลภ


ในภาวะหุ้นเป็นตลาดหมี (Bear Market) เป็นช่วงตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรจะอยู่ในระดับไม่สูง ขณะเดียวกันมีโอกาสขาดทุนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ต้องลดเป้าหมายกำไรลง เช่น ถ้าทำกำไรได้ 10% - 15% จะขายทันที แต่ถ้าผิดทางจะขายตัดขาดทุนเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง 3%


ยกตัวอย่าง ซื้อหุ้น ABC ที่ราคา 8 บาท ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าถ้าได้กำไร 10% หรือปรับขึ้นไปที่ 8.80 บาท จะขายทำกำไร แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ คือราคาหุ้นปรับลดลงไป 3% หรือปรับลดงไปที่ 7.76 บาท จะขายตัดขาดทุนทันที

 

3.ถึงเป้าหมาย ขายด่วน


“ขายเมื่อราคาวิ่งถึงเป้าหมาย” กฎเหล็กของนักลงทุนที่ดี คือเมื่อราคาหุ้นได้เข้าสู่กรอบของราคาเป้าหมายที่ประเมินเอาไว้ก็ควรขายหุ้นออกไป เพราะแสดงว่าหุ้นมีมูลค่าเต็มที่แล้ว และถัดจากนี้ไปมีโอกาสเห็นราคาปรับลดลง


ราคาเป้าหมาย หมายถึงราคาสูงสุดที่นักวิเคราะห์คาดว่าหุ้นของบริษัทนั้นจะไปถึงได้ภายในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า โดยคำนวณมาจากข้อมูลของบริษัทนั้นๆ เช่น การประมาณการผลกำไร ความสามารถในการทำกำไร ประวัติย้อนหลังของราคาหุ้น อัตราส่วนทางการเงิน เช่น P/E Ratio, P/BV Ratio  

4.พื้นฐานเปลี่ยน


ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับการลงทุนระยะยาว เช่น ซื้อและถือไปนานๆ 3 ปี, 5 ปี, 8 ปี เป็นต้น โดยนักลงทุนกลุ่มนี้จะมีเป้าหมายเพื่อรับเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม หากบริษัทนั้นมีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลง เช่น ภาวะอุตสาหกรรมซบเซา การแข่งขันรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ยอดขายปรับลดลง ผู้บริหารออกมายอมรับว่าผลประกอบการอาจขาดทุน นักลงทุนต้องประเมินว่ามีผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐานของบริษัทหรือไม่ และหากพบว่าอาจมีผลต่อความสามารถในการจ่ายปันผลก็ต้องตัดสินใจขาย

 

5.ราคาวิ่งรวดเร็ว


เมื่อเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ควรพิจารณาขายออกไป เพราะโดยธรรมชาติแล้วเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็วในลักษณะนี้ อีกไม่นานราคาจะปรับลดลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาจะปรับลดลงตอนไหน ดังนั้น กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ การตั้งจุดขายตัดขาดทุน

 

6.ความโปร่งใสลดลง


กรณีดังกล่าวมักเกิดขึ้นกับผู้บริหารระดับสูงที่มีอำนาจในการตัดสินใจของบริษัท เช่น ในอดีตบริษัทได้รับการยอมรับว่าผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล แต่วันดีคืนดีผู้ตรวจสอบบัญชีรายงานว่าบริษัทได้ทำการตกแต่งบัญชี และผู้บริหารออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้นักลงทุนต้องขายหุ้นออกทันที เป็นต้น


ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ นอกจากซื้อหุ้นเป็นแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ การขายหุ้น เพราะเป็นจุดที่ตัดสินว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน