บริการด้านชำระเงิน
SCB EASY Pay
บริการชำระเงินด้วย QR Code
ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
น้องมีบุญ ชวนร่วมบุญ เดือนแห่งบุญกฐิน
หลังจากเราได้ทำบุญเนื่องในวันออกพรรษาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2566 ในช่วงนี้พุทธศาสนิกชนหลายคนอาจจะได้เห็นการทอดกฐิน หรือการถวายผ้ากฐิน ซึ่งเป็นการถวายทานที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก ชื่อมหาวัคค์ เรื่อง กฐินขันธกะ (หมวดว่าด้วยกฐิน) ว่า ครั้งหนึ่งมีภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา จำนวน 30 รูป ที่เดินทางมาด้วยหวังจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พอถึงเมืองสาเกตุอีก 6 โยชน์จะถึงเมืองสาวัตถีก็ถึงกาลเข้าพรรษา จึงต้องอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกตุ ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ในระหว่างจำพรรษาอยู่นั้นก็มีความกระวนกระวายในการอยากจะเข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาค ครั้นเมื่อออกพรรษา ก็รีบเดินทางไปยังเมืองสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคทันที ทำให้น้ำหรือโคลนตมเปรอะเปื้อนจีวรในระหว่างเดินทาง เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้า พระพุทธองค์ ทรงปฏิสันถารด้วยภิกษุเหล่านั้น และทรงทราบถึงความลำบากของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงทรงยกเป็นเหตุมีพระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน และโปรดให้เป็นการสงฆ์ คือเป็นสังฆกรรมสำหรับภิกษุทั้งหลายทั่วไป ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วหนึ่งเดือน (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) จะทำก่อนหรือหลังจากช่วงเวลานี้ไม่ได้
กฐินมีทั้งหมด 4 ลำดับ
1. กฐินหลวง คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐินด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายเป็นประจำ ณ วัดหลวงสำคัญๆ จำนวน ๑๖ วัด
2. กฐินต้น คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดที่มิใช่วัดหลวง และมิได้เสด็จฯ ไปอย่างเป็นทางการหรือเป็นพระราชพิธี แต่เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนพระองค์
3. กฐินพระราชทาน คือ กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูลขอพระราชทานไปถวายยังวัดหลวงนอกจากวัดสำคัญที่ทรงกำหนดไว้ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง 16 วัด
4. กฐินราษฎร์ คือ กฐินที่พุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธานำผ้ากฐินของตัวเองไปถวายตามวัดต่างๆ ที่ไม่ใช่วัดหลวง 16 วัด
เมื่อเราทำความรู้จักคำว่า “กฐิน” กันแล้ว น้องมีบุญจึงอยากเชิญชวนเพื่อนๆ ร่วมทำบุญเนื่องในเทศกาลทอดกฐิน ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่สแกน QR Code ทำบุญทันใจ
>> กด “ยอมรับ” ให้ธนาคารที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลรายการนี้ ให้แก่ กรมสรรพากร และ/หรือ หน่วยรับบริจาค เพื่อการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
>> ใส่จำนวนเงินบริจาค กดปุ่มยืนยัน เพียงเท่านี้ เงินก็จะถูกส่งไปเข้าบัญชีของวัดโดยตรง
ข้อมูลบริจาคที่ส่งไปกรมสรรพากรจะถูกนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเราสามารถคลิกดูรายละเอียดข้อมูลที่บริจาค E-Donation ไปแล้ว ที่เว็บไซต์กรมสรรพากรได้ตลอด 24 ชั่วโมง ง่ายสะดวกทันใจ สายบุญยุคดิจิทัล
สามารถเลือกวัดที่ต้องการทำบุญเพิ่มเติม ผ่านการ สแกน QR Code และ SCB EASY APP ได้ที่ >>
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/other-services/e-donation/e-donation-religious-sites.html
วัดกลางบางแก้ว
วัดเก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเดิมว่า “วัดคงคาราม” ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน โดยหน้าวัด และพระอุโบสถหันหน้าเข้าหาแม่น้ำตามธรรมเนียมโบราณ สังเกตได้จากอุโบสถ ใบเสมา วิหาร และพระประธานในอุโบสถ คือ หลวงพ่อโต สร้างจากหินทรายแดง โดยปรากฏรอยจารึกว่าตั้งวัดเมื่อปีพ.ศ.1895 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปีพ.ศ.1905
ต่อมา เมื่อปีพ.ศ.2458 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจราชการตามลำน้ำนครชัยศรี ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัด จึงทรงตรัสถามมรรคนายกวัด ทูลว่าชื่อ “วัดคงคาราม” ทรงเห็นว่าเป็นวัดที่อยู่ริมแม่น้ำตรงปากคลองบางแก้ว และในละแวกนี้ก็ยังมีวัดใกล้เคียงอีกสองวัด ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน ด้านทิศใต้ติดกับวัดใหม่สุปดิษฐาราม และทิศตะวันตกติดกับวัดตุ๊กตา จึงทรงประทานชื่อใหม่ว่า “วัดกลางบางแก้ว” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทางวัดได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา ด้วยเดิมที่น่าจะเป็นวัดที่มีความรุ่งเรือง มีผู้คนศรัทธาเป็นจำนวนมากในอดีต เช่น ภาพจิตกรรมฝาผนังในอุโบสถ และภาพจิตรกรรมฝาไม้สักทองด้านในหอไตรที่มีความงดงาม แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นช่างฝีมือจากยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์
ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายก เก็บรักษาโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุเก่าแก่อันล้ำค่า เช่น เครื่องรางของขลัง เครื่องถ้วยลายครามในสมัยก่อนรวมไปถึงสิ่งสำคัญตั้งแต่สมัยโบราณ และยังมีข้าวของเครื่องใช้ของอดีตเจ้าอาวาส 2 รูป คือ หลวงปู่บุญ หรือ ท่านเจ้าคุณพุทธวิถีนายก (บุญ ขันธโชติ) ซึ่งปกครองวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2429-2478 และหลวงปู่เพิ่ม พระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญญวสโน) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บุญ และสืบตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดต่อมา
ที่ตั้ง: 113 หมู่ 2 ตำบลนครชัยศรี อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
วัดชมภูเวก
วัดมอญเก่าแก่อายุมากกว่า 300 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวมอญที่ย้ายมาตั้งรกรากในบริเวณท่าทราย โดยเมื่อเข้ามาสร้างค่ายพักแรมในบริเวณวัด ได้พบซากอิฐจำนวนมาก จึงสันนิษฐานว่าบริเวณนี้น่าจะเคยเป็นโบราณสถานมาก่อน ชาวมอญจึงสร้างพระธาตุมุเตา หรือเจดีย์แบบมอญขึ้น แรกเริ่มนั้นเป็นพระธาตุขนาดเล็ก สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา แต่ในภายหลัง พ.ศ.2460 พระอธิการอินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในช่วงเวลานั้น ในพบกับคณะพระสงฆ์มอญ นำโดยพระครูลัย ร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณะ สร้างพระธาตุให้สูงใหญ่ครอบองค์เดิม แต่พระธาตุมุเตาองค์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นพระธาตุที่ได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2535 – 2539 เนื่องจากพระธาตุองค์เดิมนั้นชำรุดทรุดโทรม และมีความเสียหาย
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีอุโบสถหลังเก่าอายุมากกว่า 350 ปี สร้างโดยคติมอญโบราณคือแบบมหาอุตม์ มีประตูเข้าออกด้านเดียว หน้าบันเป็นลายปูนปั้นตั้งแต่ชายคาขึ้นไปถึงสันหลังคา ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพุทธประวัติ และทศชาติ โดยสกุลช่างนนทบุรีที่ทำการบูรณะในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 มีความงดงามและสมบูรณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่นี่ จึงได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นโบราณสถานแห่งชาติโดยกรมศิลปากรเมื่อปีพ.ศ.2505
ที่ตั้ง: 173 ซอยนนทบุรี 33 ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
วัดบางนานอก
วัดเก่าอายุมากกว่า 100 ปี สร้างเมื่อปีพ.ศ.2424 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมทีมีพื้นที่วัดมากถึง 22 ไร่กว่า แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 15 ไร่เนื่องจากถูกน้ำกัดเซาะ อุโบสถหลังเก่าก็ได้พังลงด้วย ด้วยทำเลที่ตั้งบริเวณปากแม่น้ำ ทำให้มีความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ผู้คนมักมาไหว้พระทำบุญ ให้อาหารปลา และที่นี่ยังได้รับการจัดตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำกทม. แห่งที่ 23 มีปฏิบัติธรรมทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ เวลา 13:00 – 17:00น. (แต่งกายนุ่งขาว-ห่มขาว หรือชุดสุภาพ) ณ ชั้น 2 ศาลาการเปรียญเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก และเป็นสถานที่ทำบุญไหว้พระ ถวายสังฆทาน ทำบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือ และสวดนพเคราะห์
ที่ตั้ง: 18 ถนนสรรพาวุธ แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร
วัดพระพุทธแสงธรรม
วัดแห่งนี้ เป็นองค์กรพระพุทธศาสนา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2555 ด้วยจิตศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจากทั่วประเทศ นำโดยท่านเจ้าคุณสุนทรธรรมภาณ (เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี-ธรรมยุต) ได้พาศิษยานุศิษย์ร่วมกันซื้อที่ดิน และเป็นประธานในการก่อสร้างเพื่อประโยชน์สำหรับพระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชน
ภายในบริเวณวัดมีมหาวิหาร ทรงบาตรคว่ำ ครอบองค์พระปางปฐมเทศนา หรือสมเด็จพระพุทธแสงธรรม ตัวแทนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสูงถึง 40 เมตร โดยมหาวิหารทรงบาตรคว่ำ เป็นการนำเอาสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา คือ บาตรพระ มาใช้เป็นสถาปัตยกรรม ด้วยการแฝงธรรมะที่ว่า “อิ่มแล้วกับการเกิดทั้งหลาย ทุกการเกิดนั้นเป็นทุกข์ และไม่พึงแสวงหาการเกิดอีกต่อไป”
ที่ตั้ง ตำบลหนองนาก อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
วัดอ่างทองวรวิหาร
วัดอ่างทองแต่เดิมเป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็ก 2 วัด คือวัดโพธิ์ทอง และวัดโพธิ์เงิน สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ต่อมาใน พ.ศ.2443 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จทางชลมารคทอดพระเนตรเห็นวัดทั้งสองนี้ จึงมีพระราชดำริให้รวมเป็นวัดเดียวกัน และพระราชทานนามว่า “วัดอ่างทอง”
ภายในบริเวณวัด ประกอบไปด้วย พระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ.2499 - 2500 แทนอุโบสถหลังเดิมที่สร้างตั้งแต่ 2445 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน พระเจดีย์ทรงระฆังแปดเหลี่ยมประดับกระจกสี หมู่กุฏิทรงไทย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระประธานคู่วัดมาตั้งแต่เดิม และค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมใกล้จะหักพังลงมา จึงได้มีการหล่อพระประธานขึ้นใหม่ด้วยโลหะ ลงรักปิดทอง แต่กลับไม่คาดคิด พระพุทธรูปที่เอนเอียงใกล้จะพังกลับมีลักษณะที่ตั้งตรงกับฉัตรเหนือพระเศียรพอดี ก่อเกิดความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็น ประชาชนจึงพากันเลื่อมใส และบูรณปฏิสังขรณ์ให้มีความแข็งแรงขึ้น ส่วนพระประธานองค์ใหม่ได้นำมาประดิษฐานไว้หน้าองค์เดิม
นอกจากนั้น ยังมีเจดีย์สีทองอร่ามทรงระฆังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่บริเวณพระอุโบสถ มีหอระฆังคู่อยู่หน้ากุฏิไม้สักทรงไทยที่สวยงามด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น และอาคารโรงเรียนปริยัติธรรมสโมสร เป็นสถาปัตยกรรมประยุกต์แบบตะวันตก ทรงปันหยา ก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น สร้างเมื่อ พ.ศ.2461 โดยพระโพธิวงศาจารย์ (แผ้ว) ตั้งอยู่ที่ตำบลบางแก้ว หรือ ข้างศาลากลางจังหวัดอ่างทอง
ที่ตั้ง: 1 ถนน เทศบาล 1 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง
ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด