ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ทิศทางนโยบายการเงินหลัง กนง.ปรับทิศ
อาจกล่าวได้ว่าเป็นการประชุมที่ทำให้ตลาดประหลาดใจมากที่สุดก็ว่าได้ สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 8 มิถุนายน ที่แม้ผลการประชุมจะยังคงอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ส่งสัญญาณรุนแรงว่าพร้อมจะปรับขึ้นในระยะเวลาต่อไปภายในปีนี้
ภาพนี้เป็นสัญญาณที่แตกต่างจากที่ทาง ธปท. เคยส่งก่อนหน้าว่าเศรษฐกิจไทยแม้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ยังมีความเปราะบางสูง จึงยังจำเป็นต้องคงดอกเบี้ยต่ำต่อไป ซึ่งสัญญาณดังกล่าวทำให้สำนักวิจัยเอกชนในประเทศส่วนใหญ่จึงยังมองว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงต่ำต่อเนื่องที่ 0.5% ตลอดปีนี้ จะมีเพียงสำนักวิจัยต่างประเทศ รวมถึงสำนักวิจัยในประเทศส่วนน้อยที่มองว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นในปีนี้
ในส่วนของฝ่ายวิจัย หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์เอง ได้มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่จะเชื่อว่าดอกเบี้ยไทยจะต้องขึ้นในปีนี้ โดยเรามองว่ามี 3 เหตุผล กล่าวคือ
ด้วยเหตุผลทั้งสาม เราจึงเชื่อว่า ธปท. ควรขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งสัญญาณที่ออกมาจากการประชุม กนง. ในวันที่ 8 มิถุนายนก็เป็นเช่นเดียวกัน โดย กนง. ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ขึ้นเล็กน้อย ไปอยู่ที่ 3.3% (จาก 3.2%) และปีหน้าให้ไว้ที่ 4.2% ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมที่ 4.4% ขณะที่ปรับประมาณการเงินเฟ้อขึ้นมาก จาก 4.9% เป็น 6.2% ในปีนี้ และจาก 1.7% เป็น 2.5% ในปีหน้า และเริ่มกังวลในแรงกดดันด้านอุปสงค์ (Demand Pull Inflation) มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้ากล่าวว่าเงินเฟ้อเป็นผลจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น (Cost Push Inflation) เป็นหลัก
ในประเด็นการกระจายตัวของเงินเฟ้อ กนง. เริ่มส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อมีการกระจายไปสู่หมวดพื้นฐาน (ที่ไม่ใช่พลังงานและอาหารสด) มากขึ้นตามที่เรามอง โดยเห็นว่าสินค้าในหมวดเครื่องประกอบอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ซักล้าง ของใช้ส่วนตัว หมวดบันเทิง และหมวดเครื่องนุ่งห่ม เริ่มเห็นราคาเร่งตัวขึ้น
นอกจากนั้น กนง. ยังกังวลในประเด็นราคาน้ำมันดิบ โดยปรับประมาณการน้ำมันดิบขึ้นจาก 100 เป็น 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งหมายความว่าครึ่งหลังของปีราคาน้ำมันดิบต้องเฉลี่ย 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป ซึ่งเรามองว่าปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
ในส่วนของเรา คำถามสำคัญในระยะต่อไปคือ การเริ่มขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. จะไปสิ้นสุดที่ใด และด้วยอัตราใด ซึ่งก่อนจะได้คำตอบนั้น เราตั้งสมมติฐานภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไว้ 2 ประการ ดังนี้
ภาพดังกล่าวจะทำให้รูปแบบการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นได้ 1-2 ครั้ง ไปอยู่ที่ 0.75-1% ในขณะที่ในปี 2023 อาจปรับขึ้นได้ 3-5 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยไป Peak ที่ 1.5-2% ขึ้นอยู่กับโมเมนตัมของเศรษฐกิจไทย ความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มเงินเฟ้อ (ที่จะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันและปัญหาซัพพลายเชนเป็นสำคัญ)
การขึ้นของดอกเบี้ยจาก 0.5% ไปสู่ระดับ 1.5-2.0% นั้นเป็นการขึ้นที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับวัฏจักรครั้งก่อน เช่น ในปี 2010-2011 ที่มีการขึ้นจาก 1.25% ไปสู่ 3.5% หรือขึ้นถึง 2.25% (Percentage Point) ซึ่งเรามองว่าการขึ้นในระดับ 1-1.5% (Percentage Point) ในวัฏจักรนี้จะยังไม่เป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจมากนัก แต่ก็พอที่จะคุมความคาดหวังเงินเฟ้อไม่ให้เกิด Wage Price Spiral ได้
อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยของไทยที่ระดับต่ำกว่าการขึ้นของธนาคารกลางสำคัญ เช่น สหรัฐฯ (Fed) ที่เราคาดว่าจะปรับขึ้นไป Peak ที่ 2.5-3% จากปัจจุบันที่ 0.8% จะยังเป็นแรงผลักดันให้เงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเป็นการปรับสมดุลด้านอัตราแลกเปลี่ยน ที่ทำให้ค่าเงินบาทเข้าสู่จุดดุลยภาพขึ้น (หากวัดจากดัชนีค่าเงินบาท หรือ Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ที่เราแข็งค่าไปถึงกว่า 20% ในช่วงที่ผ่านมา
แม้จะไม่รุนแรงนัก แต่ดอกเบี้ยขาขึ้นกำลังจะเริ่มต้น ภาคธุรกิจและนักลงทุนโปรดบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างระมัดระวัง
ข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2565
บทความโดย ดร.ปิยศํกดิ์ มานะสันต์ ฝ่ายวิจัยการลงทุน บ.หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด
ที่มา : The Standard Wealth