เจาะกลยุทธ์พลิกเกมการลงทุน สู้ศึกเศรษฐกิจผันผวนปี 2024

แม้โลกจะผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปแล้ว แต่ภาพเศรษฐกิจการลงทุนอาจยังไม่กลับมาสดใสได้ในช่วงเวลาอันสั้น ตลาดยังมีความผันผวนด้วยเหตุจาก ดอกเบี้ยสูง ภาวะหนี้  ความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อน ความไม่แน่นอน ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก และการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดย ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ FEVP, Chief Economist and Chief Strategy Officer, SCB คุณศรชัย สุเนต์ตา EVP of SCB Investment Office and Production Function, SCB และ คุณสุกิจ อุดมศิริกุล  Chief Research Officer, InnovestX มาร่วมพูดคุยถึงภาพเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนตลาดโลกและตลาดหุ้นไทยในปี 2024

investment-outlook-2024-01

“3 ไม่” กับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย


เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตภายใต้ภาวะ “3 ไม่” คือ “ไม่สอดคล้อง” “ไม่ทั่วถึง” และ “ไม่แน่นอน” ดร.สมประวิณกล่าว


1. “ไม่สอดคล้อง” คือเศรษฐกิจแต่ละประเทศดำเนินไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะประเทศทีมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 4 ประเทศ อย่างสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วง Slow Down เศรษฐกิจยุโรปกำลังหดตัว ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ยังขยายตัวได้จากภาคบริการ แต่เศรษฐกิจจีนกลับน่ากังวล เนื่องจากภาวะ oversupply ในภาคอสังหาริมทรัพย์ สาธารณูปโภคพื้นฐาน เศรษฐกิจจึงมีแนวโน้มชะลอลงอีกในระยะปานกลาง จึงยากที่จีนจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก


2. “ไม่ทั่วถึง” จากที่คาดการณ์ GDP เศรษฐกิจไทยปี 2024 จะเพิ่มขึ้น 3.5% แต่ไม่ใช่ว่าทุกภาคการผลิตจะเติบโตดี ภาคบริการยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว เพราะนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเร็วตามที่คาด ภาคการส่งออก ที่ถ้าจีนส่งออกไม่ได้ จะกระทบถึงสินค้าที่ไทยเป็นต้นทางด้วย


3. “ไม่แน่นอน” โลกอยู่ในยุค VUCA ที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนทั้งจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) รวมทั้งการที่ไทยมีหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้เปราะบาง


ทั้ง “3 ไม่” นี้จะส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ที่บางธุรกิจเติบโตได้ดี ขณะที่บางธุรกิจยังต้องใช้เวลาฟื้นตัว ดังนั้นการลงทุนจึงต้องเลือกให้ถูกที่ โดยลงทุนในภาคธุรกิจกลุ่มตอบโจทย์การฟื้นตัวของการบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ภาคการเกษตรที่แม้ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง แต่ก็ได้ประโยชน์จากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายส่งออกของคู่แข่ง รวมถึงภาคธุรกิจที่สอดรับเทรนด์ต่างๆ เช่นเทรนด์ ESG สิ่งแวดล้อมเป็นต้น  

4 ความเสี่ยงที่ต้องจับตาในการลงทุน


ในมุมมองเรื่องกลยุทธ์การลงทุน คุณศรชัยวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาในการลงทุน  ได้แก่
 

1) ภาวะ Higher of Longer ที่อัตราดอกเบี้ยที่ผ่านจุดสูงสุดมาแล้วยังคงสูงต่อเนื่อง และปรับตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งคาดว่ากว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า ในช่วงที่ดอกเบี้ยสูงอยู่นี้ จึงเป็นโอกาสการลงทุนในพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศ อย่างดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้ผลตอบแทนที่ 5% รวมถึงการลงทุนในตลาดเงิน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว


2) เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด หนี้สินทุกภาคส่วน ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกประเทศ ประกอบการภาวะดอกเบี้ยสูง ทำให้ภาระหนี้และต้นทุนบริษัทสูงขึ้น จึงต้องระมัดระวังการลงทุนใน High Yield Bond และบริษัทที่เครดิตความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ


3) สภาพคล่องในตลาดโลก จากที่ทั่วโลกใช้มาตรการ QE ฉีดสภาพคล่องเพิ่มต่อเนื่อง ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 แต่ตอนนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มใช้การ Financial Tightening ลดสภาพคล่องในตลาดโลกลง ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง หุ้น ดังนั้นควรระมัดระวังการลงทุน โดยแม้ดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดลง ก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักทันที


4) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเดิมมีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-ฮามาส โดยในช่วงต้นปีหน้า ไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่อาจส่งผลถึงสถานการณ์จีน-ไต้หวัน และจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงปลายปี ซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลหรือเปลี่ยนมาใช้นโยบายชาตินิยม ก็จะมีผลต่อความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน สร้างความผันผวนให้ตลาดได้

จับจังหวะลงทุนตลาดหุ้นไทย ปี 2024


จากการที่ตลาดหุ้นขณะนี้อยู่ในช่วง Transition ครั้งใหญ่ที่ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ ปรับลดดอกเบี้ยลงในปีหน้า ส่งผลให้เงินทุนไหลไปยังตลาดตราสารเงินตราสารหนี้สหรัฐ คุณสุกิจ มองว่าการลงทุนตลาดหุ้นเป็นการลงทุนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในตอนนี้การลงทุนมองไปถึงช่วงเดือนพ.ย. 2024 โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 มีโอกาสทำกำไรได้ด้วย 2 เหตุผล ได้แก่ 1) นโยบายรัฐบาลที่จะส่งผลบวกต่อตลาด เช่นการตั้งกองทุน TESG ลงทุนในหุ้น ESG ลดหย่อนภาษีได้ 30% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ช่วยเพิ่มเม็ดเงินกว่าหมื่นล้านเข้ามาในตลาดหุ้น และนโยบาย Digital Wallet 2) มูลค่าตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทยปรับตัวลงต่ำเป็นประวัติการณ์ หุ้นไทยราคาถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก


ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้าที่คาดว่าดอกเบี้ยจะลดลง เม็ดเงินต่างชาติที่อยู่ในตลาดเงินจะกลับเข้ามาทำให้ตลาดหุ้นเอเชียคึกคักขึ้น ดังนั้นในครึ่งหลังปี 2024 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว โดยการลงทุนให้เลือกลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศ เลือกภาคธุรกิจที่มีความเชื่อมั่นว่าจะเติบโต InnovestX คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำสุดที่ 1,450 จุด และคาดว่าในปลายปี 2024 จะอยู่ที่ 1,650-1,750 จุด

ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจการลงทุนประเด็นต่างๆ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจ SCB EIC ได้ที่  https://www.scbeic.com/  รวมถึงงานสัมมนาความรู้น่าสนใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การตลาด การเงินการลงทุน เทคโนโลยี จัดโดย SCBX ได้ที่ Facebook SCBX


ที่มา : INVESTMENT OUTLOOK 2024 Recession-Proof Investing in a Tightening Economic Era พลิกเกมการลงทุนสู้ศึกเศรษฐกิจผันผวน วันที่ 14 พ.ย. 2566 ที่ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน