ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
นิสัยการออม บอกอนาคต
แม้การออมเงินเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถนำไปสู่การมีอิสรภาพทางการเงินได้ แต่การจะมีอิสรภาพทางการเงินจำเป็นต้องมีเงินออม โดย David Bach (เดวิด บาค) นักเขียนและนักวางแผนทางการเงินชาวอเมริกันที่โด่งดัง ได้เขียนหนังสือที่มียอดขายสูงสุดต่อเนื่องมากถึง 7 เล่มด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือที่มีชื่อว่า "The Automatic Millionaire" หรือ "เศรษฐีอัตโนมัติ" โดยบาคได้แบ่งคนออกเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มถังแตก
คนกลุ่มนี้จะไม่คิดเรื่องการออมเงิน แต่มักใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ทำให้ต้องคอยหยิบยืมเงินเป็นประจำ และไม่สามารถจ่ายคืนได้ตามกำหนด
ใครที่เข้าข่ายข้อนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหยุดก่อหนี้ และรีบหารายได้เสริม ไม่เช่นนั้น อนาคตจะเป็นหนี้หัวโต แต่หากไม่สามารถหารายได้เพิ่มได้มากพอ ต้องแก้ไขนิสัยการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วน รีบอุดรูรั่วที่แม้จะเป็นเพียงรูรั่วเล็กน้อยก็ต้องทำ เช่น เงินที่จ่ายไปจำนวนไม่มาก แต่จ่ายทุกวัน รวมๆ แล้วก็เป็นเงินก้อนโตที่ต้องเสียไป
2. กลุ่มคนจน
คนกลุ่มนี้รู้ว่าการออมเป็นสิ่งที่ดี แต่ผัดวันประกันพรุ่งในการเริ่มต้นเก็บออมไปเรื่อยๆ ไม่เริ่มลงมือสักที ทำให้ “วันนั้น” สำหรับคนกลุ่มนี้ไม่เคยมาถึง
หากแปลตามที่บาคได้เขียนไว้ คนจนไม่ได้อ้างอิงจากรายได้ แต่อ้างอิงจากอัตราส่วนของเงินที่ออมได้ หากใครไม่อยากเข้าข่ายคนจน ขอให้รีบลงมือเก็บออมทันที ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ เพราะการออมเป็นปฐมบทของความมั่งคั่ง ทุกคนจึงต้องมีเงินออมก่อน ถึงจะนำไปต่อยอดในอนาคตได้
3. กลุ่มคนชั้นกลาง
ออมเงินได้ 5-10% ของรายได้
คนส่วนใหญ่ที่รู้จักเก็บออม จะด้วยการถูกปลูกฝังจากครอบครัว หรือทัศนคติในการใช้เงินก็ตาม จะสามารถเก็บเงินในสัดส่วนนี้ได้ แต่ก็ยังถือว่าจำนวนเงินออมในสัดส่วนนี้ยังมีความสุ่มเสี่ยงที่จะไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในอนาคต เพราะแนวโน้มของค่าครองชีพที่สูงขึ้น และอนาคตที่ไม่แน่นอน จึงควรให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ ควบคู่กันไปกับการบริหารความเสี่ยงด้วยประกันชีวิต และประกันสุขภาพที่ครอบคลุมไปถึงหลังเกษียณ
4. กลุ่มพอมีพอกิน
ออมเงินได้ 10-15% ของรายได้
จะสังเกตได้ว่า บ้านเราเองก็รณรงค์ให้มีการออมเงินให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้เช่นกัน แต่เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวเป็นขั้นต่ำที่แนะนำ หากออมได้มากกว่านี้ย่อมอุ่นใจได้มากกว่า เพราะในอนาคตอาจมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น การเจ็บป่วยที่ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลที่สูง หรือการขาดรายได้ของหัวหน้ารอบครัว เป็นต้น ดังนั้นอย่าประมาทในการใช้ชีวิต ต้องมีความสม่ำเสมอในการลงทุนให้เงินงอกเงยอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้ที่นอกเหนือจากค่าจ้าง ค่าแรง ตามความเสี่ยงที่เหมาะกับแต่ละคน รวมถึงการมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน
5. กลุ่มคนรวย
ออมเงินได้ 15-20% ของรายได้
ใครที่สามารถออมเงินได้สม่ำเสมอในสัดส่วนนี้ แล้วยังสามารถบริหารรายจ่ายได้อย่างไม่มีปัญหา ถือว่ายอดเยี่ยม คนกลุ่มนี้มักจะออมเงินในรูปแบบของการลงทุนที่มากกว่าเงินฝาก เพื่อสร้างรายได้จาก Passive Income เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า เป็นต้น ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถบริหารเงินออม เงินลงทุน ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แบบชิลๆ
6. กลุ่มคนรวยที่สามารถเกษียณอายุได้ก่อนเวลา
ออมเงินได้มากกว่า 20% ของรายได้
ใครที่สามารถออมเงินได้ในระดับนี้อย่างสม่ำเสมอ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความมั่งคั่ง แม้จะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่มีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน มีวินัยทางการเงิน การลงทุนสูง ทำให้สามารถไปถึงอิสรภาพทางการเงินได้เร็ว
เราสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ อยากมีสุขภาพทางการเงินแบบไหน เราเท่านั้นที่เป็นคนกำหนด รายได้มากน้อย ไม่สำคัญ สร้างเงินออมของตัวเองให้ได้ แล้วต่อยอดเงินออมนั้นให้งอกเงย อิสรภาพทางการเงินก็ไม่ไกลเกินเอื้อม