ดินเนอร์เลิศรสใต้แสงดาว ดื่มด่ำวิวสวยของโค้งน้ำเจ้าพระยาที่ Breeze, Lebua at State Tower กับดีลสุดพิเศษรับฟรีห้องพักพร้อมอาหารเช้าที่ Lebua

สร้างความทรงจำในค่ำคืนสุดพิเศษกับดินเนอร์หรูใต้แสงเดือนดาว เพลิดเพลินแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพและโค้งน้ำเจ้าพระยาท่ามกลางอากาศเย็นสบายบน Roof Top Restaurants & Bars ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Vertical Destination ของเมืองไทย ที่มีลูกค้าจากทั่วโลกมาสัมผัสประสบการณ์อันเลอค่ากว่า 7 ล้านคน จาก 62 ประเทศทั่วโลก Lebua at State Tower มี Roof Top Restaurants & Bars ที่เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายธีม ทั้ง Sirocco ไอคอนนิค Roof Top Restaurant ที่เสิร์ฟอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน, Mezzaluna ห้องอาหารระดับ Michelin 2 ดาว ที่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่น, Chefs’s Table ห้องอาหาร Michelin 1 ดาว เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสแท้แต่มีความทันสมัย และไฮไลท์สำหรับค่ำคืนนี้คือห้องอาหาร Breeze ที่เราจะมาลิ้มรสอาหารชั้นเลิศสไตล์ Pan-Asian cuisine ที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยจากหลายสถาบัน พร้อมถ่ายรูปสวยๆ บนสะพานกระจกสุดชิคซิกเนอเจอร์ของที่นี่  โมเมนท์แสนพิเศษเหล่านี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ห้องอาหาร Breeze หนึ่งใน Roof Top Restaurant ของ Lebua @ State Tower

06

หนีจากความวุ่นวายบนท้องถนนในกรุงเทพ ไปอิ่มเอมกับสวรรค์บนดินด้วยกัน ตั้งแต่ก้าวแรกที่ล็อบบี้สัมผัสได้ทันทีถึงบริการที่เป็นมิตรและอบอุ่นอย่างไทย พนักงานทุกคนที่นี่มี Service mind สูงมาก นั่นเป็นจุดแรกที่สร้างความประทับใจ พนักงานพาเราขึ้นลิฟท์รวดเดียวมาที่ชั้น 52 ของอาคาร State Tower โมเมนท์ที่ลิฟท์เปิดออกมาถึงกับร้องว้าว! เก๋อะไรขนาดนี้

ก้าวออกมาจากลิฟท์ พบกับสะพานกระจก แต่งด้วยไฟสลับสีเหมือนว่า Breeze รอต้อนรับเราอยู่ แต่ละก้าวบนสะพานเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในหนังไซไฟแต่แฝงไปด้วยความโรแมนติก แสงไฟที่ฉายไปที่ตัวตึกทำให้อาคารที่งามตระหง่านกลายเป็นสีชมพูระเรื่อสะท้อนกลับมาที่กระจก จุดนี้เป็นแลนด์มาร์กที่ทุกคนต้องหยุดถ่ายรูปเพราะทุกแสงทุกมุมช่างเข้ากันอย่างลงตัว พนักงานก็น่ารักมากมาย แนะนำจุดถ่ายรูปแถมยังช่วยถ่ายรูปให้อย่างมืออาชีพ รูปออกมาสวยทุกรูปแค่ย่างก้าวเข้ามาก็เริ่มหลงรักเสียแล้ว

เมื่อลงจากสะพานกระจก เราเดินลงมาที่ฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นโซนของห้องอาหาร Breeze ที่วิวสวยจนแทบหยุดหายใจ มิน่าเขาถึงเรียกกันว่า Breathtaking view ณ จุดนี้ จะได้ตะลึงกับวิวของโค้งน้ำเจ้าพระยาซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็น Icon Siam ถ้าคืนไหนโชคดีจะได้ชมพลุจาก Icon Siam ด้วย โดยพลุจะอยู่ในระดับสายตาแบบพอดิบพอดี วิวเมืองก็งดงามไม่แพ้กันแสงไฟระยิบระยับจากท้องถนนและตึกน้อยใหญ่ทำให้ไม่อยากละสายตา เรียกว่าอดใจไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกันแบบรัวๆ

ถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้วกับการลิ้มลองอาหารที่ Breeze อาหารที่นี่จะเป็นแบบ Pan-Asian-inspired cuisine พูดง่ายๆ ก็คือเป็นอาหารสไตล์เอเชีย ที่ใช้เทคนิคการปรุงแบบจีน มาเลย์ ไต้หวัน โดยมีส่วนผสมของญี่ปุ่นและไทยบ้างเบาๆ ปรับให้มีความโมเดิร์น ความเป็นฟิวชั่นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่อร่อยอย่างแปลกใหม่ เป็นดินเนอร์สุดพิเศษจริงๆ

มื้อนี้เราสั่งอาหารแบบ Set Chef's Tasting  รวม 5 จาน แค่มองด้วยตาก็ให้คะแนนเต็ม 10 แล้ว เพราะทุกจานจัดมาอย่างมีศิลปะ ประณีต สวยงาม เย้ายวนให้ลิ้มลอง พนักงานอธิบายทุกเมนูที่เสิร์ฟว่าแต่ละจานคืออะไร พอได้ลิ้มรสต้องบวกคะแนนให้อีกเพราะปรุงด้วยวัตถุดิบชั้นยอด ทั้งวัตถุดิบหลักและซอสต่างๆ เสริมความอร่อยให้กันและกัน เรียกว่าว้าวทั้งคาวหวาน ตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปยันของหวานตบท้าย ยิ่งถ้าทานกับไวน์ใต้แสงเทียนพร้อมกับชมวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา บอกเลยว่าเป็นดินเนอร์ที่อิ่มเอมไปทุกประสาทสัมผัส ทุกอย่างพรีเมี่ยมไปหมด ทั้งอาหาร การบริการที่ยอดเยี่ยมและบรรยากาศที่สวยงามเพลินตา ทำให้รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียดทุกอย่างทิ้งไป เก็บไว้แค่ความทรงจำที่งดงาม


มาไล่เรียงความอร่อยของอาหารแต่ละเมนู ที่เชฟตั้งใจปรุงให้อย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนกันเลยดีกว่า

เริ่มจาก Starter หรืออาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อน  เราสั่ง กุ้งลายเสือทอดกรอบคลุกซอสวาซาบิ (CRISPY WASABI PRAWN Wasabi cream, mango salsa) ตัวซอสจะเป็นมายองเนสผสมเข้ากับวาซาบิแบบดิบพอดีไม่ฉุนจนเกินไป ตัวกุ้งนำไปทอดก่อนแล้วมาคลุกเคล้ากับซอสและราดด้วย mango salsa ด้านบน จานนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งในพระเอกของที่นี่ก็ว่าได้ เนื้อกุ้งหวานแน่น มีความกรุบกรอบ ซอสหวานนิดๆ ละมุนลิ้นมีกลิ่นวาซาบิเตะจมูกนิดหน่อยกำลังดี คะแนนเต็มสิบยังไม่พอกับความอร่อยแปลกใหม่ แนะนำให้ทานคู่กับไวน์ Clarendelle Blanc, by Haut-Brion, Bordeaux, France, 2018

มาต่อกันที่ซุป มื้อนี้เราเลือก ซุปสไตล์เซียงโจว หอยเชลลจ์ากฮอกไกโด (“XIANG ZHOU” SOUR CLEAR SOUP, Hokkaido scallop, vermicelli ball) เซียงโจวเป็นชื่อมณฑลหนึ่งของจีน น้ำซุบใสสีดอกกุหลาบแรกแย้มระเรื่อๆ รสชาติเปรี้ยวนิดๆ เผ็ดเบาๆ มีกลิ่นหอมบางๆ ของดอกกุหลาบ ส่วนตัวหอยเชลล์นั้นนำเข้ามาจากฮอกไกโด โดยนำหอยมาบดก่อนแล้วห่อด้วยวุ้นเส้นฮ่องกงเป็นก้อนกลมๆ แบบลูกบอลแปะด้วยแผ่นทองด้านบน เวลาเสิร์ฟจะวางก้อนหอยเชลล์ในถ้วยพร้อมกุหลาบดอกเล็กๆ โดยพนักงานจะรินน้ำซุปแบบร้อนๆ ให้ที่โต๊ะ แนะนำให้ทานเลยตอนร้อนๆ ซดน้ำซุปแล้วสดชื่นมาก รู้สึกว่าตัวเบาหวิว ซดแบบช้าๆ ให้รสชาติซึมเข้าลิ้นแล้วค่อยๆ ลอยไปที่จมูกสูดกลิ่นหอมๆ  ตัวหอยเชลล์บดห่อวุ้นเส้น ก็ทำได้อร่อยอย่างสร้างสรรค์มาก เป็นอีกเมนูที่ประทับใจมาก ถ้าได้ทานคู่กับไวน์ Chardonnay “La Mascota”, Mascota Vineyards, Mendoza, Argentina, 2017 จะเลิศเป็นที่สุด

มาถึงอาหารจากหลัก หรือ Main Course กันแล้ว เราสั่งสองจานเด็ด จานแรก เนื้อสันใน และตับห่านผัดซอสพริกไทยดำ ไวน์แดง เสิร์ฟคู่ข้าวผัดขิง (WOK-FRIED WAGYU BEEF TENDERLOIN, Foie gras, ginger fried rice, Merlot sauce Foie gras, ginger fried rice, Merlot sauce) ใช้เนื้อสันในส่วนเทนเดอร์ลอยน์จากออสเตรเลีย เป็นเนื้อวากิวเกรด 5 เสิร์ฟคู่กับฟัวกราส์เกรด A ส่งตรงจากฝรั่งเศส นำมาผัดกับซอสไวน์แดงและซอสพริกไทยดำ เนื้อหอม นุ่ม ชุ่มฉ่ำมาก ส่วนฟัวกราส์ก็เนียนนุ่มละลายในปาก รสชาติของเนื้อและฟัวกราส์ตัดกับซอสกำลังดี ตัวซอสเข้มข้นหวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ และมีความเผ็ดร้อนจากซอสพริกไทยดำที่คลุกเคล้ามาแบบเข้าเนื้อ เสิร์ฟมาพร้อมข้าวออแกนิคจิงเจอร์ ซึ่งได้จากการนำส่วนผสมของต้นหอม ขิง กระเทียมมาปั่นรวมกันและผัดออกมาเป็นข้าวสีเขียวหยกน่ารับประทาน ที่สำคัญอร่อยแปลกแบบที่ไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน เนื้อข้าวนุ่ม เรียงเม็ด ทานแล้วรู้สึกหอม สดชื่น เป็นอีกเมนูที่ต้องยกนิ้วให้ในความอร่อยและความคิดสร้างสรรค์   แน่นอนว่าเมนูเนื้อนี้ต้องจับคู่กับไวน์แดงขอแนะนำ Shiraz “The Lodge Hill”, Jim Barry, Clare Valley, Australia, 2016 รับรองไม่ผิดหวัง

Main Course จานที่สองที่อร่อยไม่แพ้กัน ปลากะพงจากชิลีย่าง เสิร์ฟคู่กับซอสสไตล์ไต้หวัน (GRILLED CHILEAN SEA BASS, Mushrooms, Taiwanese Shacha Mushrooms, Taiwanese Shacha) นำปลากะพงน้ำลึกเนื้อแน่นๆ ตัวโตๆ จากชิลีไปย่างแบบกำลังดี เสิร์ฟคู่กับ Taiwanese Shacha ซึ่งเป็นบาบีคิวซอสที่ดังมากในไต้หวันและรองจานด้วยเห็ดหูหนู แค่คำแรกก็ประทับใจกับเนื้อปลากะพงที่แน่นหวาน ไขมันน้อย ไม่เหมือนปลากะพงทั่วไปที่เคยทาน ตักทานกับซอสที่รสเข้มข้นเค็มนิดๆ หวานหน่อยๆ ทุกอย่างกลมกล่อม สดชื่นเข้ากันลงตัว เป็นเมนูที่เรียกว่านำความเด่นของสองทวีปมารวมกันปลาจากชิลี ซอสจากไต้หวันสร้างสรรค์แบบนี้หาที่ไหนไม่ได้ เรียกว่าคนชอบทานปลาไม่มีผิดหวังแน่นอน เมนูนี้แนะนำทานคู่กับ Bodvar N.7 Rose, Côte de Provence, France, 2018

มาตบท้ายด้วยของหวานกันเลย เราเลือก ช็อคโกแลตกล้วยหอมทอด เสิร์ฟพร้อมซอสน้ำผึ้งผสมขิง และเชอร์เบทรสตะไคร้ (CHOCOLATE BANANA PARCELS Citrus honey ginger dressing, lime curd,  Lemongrass sorbet) ที่นำกล้วยหอมและช็อคโกแลตมาห่อเป็นถุงทองแล้วนำไปอบจนเนื้อแป้งกรอบ เสิร์ฟคู่กับเชอร์เบทรสตะไคร้ และซอสน้ำผึ้งผสมขิง เมนูนี้ต้องบอกว่าหลงรักอย่างแรง ทานเปล่าๆ แบบไม่จิ้มซอสก็อร่อยแล้ว แต่ถ้าจิ้มกับซอสยิ่งเพิ่มความหวานสดชื่น ทานกับเชอร์เบทรสตะไคร้ ยิ่งชื่นใจเรียกว่าดับเบิ้ลความอร่อยเข้าไปอีก ขอแนะนำอย่างแรง ขนมหวานทานคู่กับ Dessert wine อย่าง Moscato, Rivani, Veneto, Italy, NV รับรองว่าฟิน

อร่อย หรู แบบพรีเมียมท่ามกลางวิวระดับร้อยล้าน บริการระดับเฟิร์สคลาส พร้อมเช็คอินและถ่ายรูปสวยๆ ไปอวดบนโลกโซเชียล

และพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต SCB ทุกประเภท เพียงสั่งเมนูอาหาร 2 ชุด/โต๊ะ รับฟรีทันทีห้องพักซูพีเรียวิวเมือง ห้องใหญ่ 66 ตารางเมตร แยกโซนส่วนห้องนั่งเล่น ห้องนอนเป็นสัดส่วน พร้อมอาหารเช้าสำหรับสองท่าน ทั้งหมดมูลค่า 5,000 บาท

จะได้ดูดาวและชมแสงสีของกรุงเทพทั้งกลางวันและกลางคืนกันให้จุใจ พร้อมรับวันใหม่กับอาหารเช้าระดับ 10 ดาว ต้องแอบกระซิบดังๆ ว่าอาหารเช้าที่โรงแรมเลอบัวนั้นอลังการจริงๆ คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

และพิเศษเพิ่มเติมสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต SCB PRIVATE BANKING, SCB FIRST, SCB PRIME และ SCB M LEGEND รับเครื่องดื่มสุดพิเศษ มูลค่า 2,500++ บาทฟรีหนึ่งแก้วต่ออาหารหนึ่งชุด รีบหยิบบัตรเครดิต SCB แล้วไปอิ่ม อร่อยอย่างมีระดับที่ Lebua กับ 4 ห้องอาหารที่ร่วมรายการได้แก่ห้องอาหาร Sirocco, Mezzaluna, Breeze และ Chefs’s Table สัมผัสประสบการณ์เลอค่ากับโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เท่านั้น สำรองที่นั่งโทร 02-624-9555  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://scbcw-preprod.scb.co.th/th/personal-banking/promotions/credit-cards/lebua-dining-jul2020-jan2021.html