เลือกออมเงินในแบบที่ใช่ ลดหย่อนภาษีในสไตล์ที่ชอบ

การลงทุนกองทุนในยุคปัจจุบัน นั้นมีหลายรูปแบบ หลายตลาด และหลายสินทรัพย์ให้เราเลือกลงทุนอย่างมากมาย แต่ด้วยความที่มีให้เราเลือกอย่างหลากหลาย ก็อาจทำให้นักลงทุนไม่สามารถตัดสินใจลงทุนได้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ต้องการลดหย่อน แต่ตัดสินใจเลือกไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีก็โค้งสุดท้ายปลายปีแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วนั้น ด้วยรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน ก็อาจจะช่วยให้นักลงทุนเลือกและเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนควรเข้าใจรูปแบบการลงทุนของผู้จัดการกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเพื่อเป้าหมายการลงทุน


นอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นนั้น สไตล์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนก็แตกต่างกัน นักลงทุนที่โด่งดังระดับตำนานก็มีสไตล์การลงทุน วิธีการ และสินทรัพย์ที่เน้นลงทุนแตกต่างกัน เช่น Peter Lynch ที่มีชื่อเสียงจากการคิดค้นอัตราส่วน price-to-earnings-growth (PEG) ช่วยให้นักลงทุนสาย VI สามารถวิเคราะห์ได้ว่าศักยภาพในการเติบโตของหุ้นเทียบกับราคา สูงเกินจะลงทุนหรือไม่, George Soros ผู้เชี่ยวชาญในการตีความ Trend เศรษฐกิจ เพื่อการลงทุนในตราสารหนี้และสกุลเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดย Soros จัดเป็นนักลงทุนระยะสั้น จะศึกษาเป้าหมายจริงจังเพื่อคาดการณ์ว่าทิศทางของราคาจะไปทางไหน และพร้อมเสี่ยงเสมอไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม หรือ Warren Buffett ที่มีรูปแบบการลงทุนที่มีวินัย ใจเย็น และเน้นคุณค่าอย่างสม่ำเสมอ เขาเลือกหุ้นต่าง ๆ ผ่านการมองภาพรวมของบริษัท และพร้อมลงทุนระยะยาวเสมือนเป็นเจ้าของร่วมของบริษัท เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเป็นสไตล์ไหนก็ไม่สามารถวัดได้ว่าถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล แต่สไตล์การลงทุนก็จะเป็นสิ่งสะท้อนว่าเราเป็นคนแบบไหน มีความรู้ด้านการลงทุนมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะการลงทุนใน SSF/RMF ที่มุ่งเน้นการเก็บออมเพื่อเกษียณและสิทธิประโยชน์ทางภาษี

517234657

วันนี้เรามาดูกันว่าเราเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน ตามสายที่ SCB Wealth แบ่งประเภทไว้ หรือหากเราเป็นนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มลงทุนในกองทุนประเภทนี้ จะมีกองทุนอะไรที่ตอบโจทย์กับเราบ้าง


- สายฮิต นักลงทุนที่เน้นลงทุนตามเพื่อน เพื่อนว่าดีเราว่าตาม สายนี้จัดอยู่ในกลุ่มชอบลงทุนในกองที่เป็น Best seller เป็นกองทุนสายฮิตติดชาร์ทขายดี ที่ใครๆ ก็ชอบมีติดพอร์ต  สำหรับในปี 2565 นี้ SCB Wealth แนะนำ กองทุน SSF/RMF ยอดขายอันดับ 1 จาก SCB ได้แก่ SCBRM4 ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือตลาด และ SCBLT1-SSF ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี 70% และตราสารหนี้คุณภาพ 30


- สายเด็ด นักลงทุนที่เน้นผลตอบแทนเด่น สายนี้จัดอยู่ในกลุ่มชอบลงทุนในกองที่เป็น Top Performance มีความมั่นใจในผลตอบแทนย้อนหลัง สำหรับในปี 2565 นี้ SCB Wealth แนะนำกองทุน SSF/RMF  ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนเด่น ได้แก่ SCBRMGIF ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และ SCBLTSET-SSF กองทุน SSF เดียวในประเทศไทยที่เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET Index


- สายฮอต นักลงทุนที่เน้นทันทุกเทรนด์การลงทุน สายนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่ชอบลงทุนในกอง Thematic อย่างเทรนด์รักษ์โลก ก็เลือกลงทุนในกลุ่มพลังงานที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เทรนด์สุขภาพ ลงทุนในกลุ่ม Healthcare รับการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเกาะเทรนด์การเติบโตของตลาดเอเชีย ลงทุนในกลุ่มประเทศในเอเชีย สอดรับการเติบโตที่หลั่งไหลมาภูมิภาค สำหรับในปี 2565 นี้ SCB Wealth แนะนำกองทุน SCBRMGHC ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์, SCBRMCLEAN ลงทุนในหุ้นพลังงานทางเลือกทั่วโลก, SCBIHEALTH-SSF ลงทุนในหุ้นนวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่ครบวงจร และ SCBDV-SSF ลงทุนในหุ้นไทยที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ


- สายลุย นักลงทุนที่เน้นตะลุยดัชนีหุ้นทั่วโลก สายนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่ชอบลงทุนในกอง Index กระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก ติดตามสถานะการณ์ตลาดได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเพราะอิงกับดัชนีของตลาดหุ้นทั่วทุกมุมโลก  สำหรับในปี 2565 นี้ SCB Wealth เฟ้นตลาดหุ้นเด่นมาให้คุณเลือกลงทุนพร้อมโอกาสรับผลตอบแทนระยะยาว ได้แก่ SCBRMS&P500 เน้นสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ และ SCBWORLD-SSF ลงทุนในหุ้นชั้นนำ หลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาแล้วตามดัชนี MSCI World

ทั้งนี้สไตล์ของนักลงทุนมักจะมาพร้อมกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนอยู่เสมอ ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเลยก็อาจทำให้เราเลือกการลงทุนผิดพลาดไม่เหมาะกับตัวเราได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้ด้านการลงทุนที่นักลงทุนทุกสไตล์ควรมีติดตัวสามารถแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ด้าน ดังนี้


1. พื้นฐานของบริษัทที่เราจะลงทุน (Fundamental) โดยต้องรู้จักธุรกิจของบริษัท แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจและอุตสาหกรรม รู้จักว่าผู้บริหารเป็นใคร อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญเปรียบเทียบกับคู่แข่ง การเติบโตและความเสี่ยงของธุรกิจในอนาคต และประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้


2. จังหวะการลงทุน (Technical) นักลงทุนต้องรู้จักหาจังหวะซื้อ-ขายหุ้น รู้จักจังหวะตัดขาดทุนหรือปล่อยกำไร รู้จักแนวโน้มของราคาหุ้น (Uptrend, Downtrend, Sideway) และควรต้องเข้าใจพฤติกรรมของราคาหุ้น


สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ดีระดับหนึ่ง ทำให้ไม่หลงทาง เห็นเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้น  อย่างที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ว่า ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ก่อนตัดสินใจลงทุน ก็ไม่เกินจริงกับสิ่งที่เราควรต้องทำ


แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่สายไหน ก็อย่าให้สายเกินไปโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็แล้วกัน


คำเตือน:

· ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF/SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน

· กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้

· ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· กองทุนบางกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนรวมถึงบางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ดังนั้นควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าวได้ และสามารถศึกษาข้อมูลกองทุนหลักได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม และรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนผ่าน SCB EASY App

อ้างอิง
- https://www.cafonline.org/charities/investments/understanding-strategies-and-styles-of-investing
- https://thestandard.co/what-is-your-style-of-investment/
- https://toc.net/2019/11/29/what-is-your-investment-style/