บทความโดย: นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร
ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนในหลักทรัพย์ขยายวงกว้างขวางมากขึ้น เรื่องการลงทุนใน Startup ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษา บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักการลงทุนใน Startup กัน
ก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุนใน Startup เราควรมาทำความรู้จักประเภทนักลงทุนใน Startup กัน ได้แก่
- Angel Investor คือ นักลงทุนอิสระที่มาลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้กับ Startup ในระยะเริ่มต้น เรียกว่าเป็นการ Seed เงินลงทุนให้ Startup ด้วยเงินทุนของนักลงทุนเอง ซึ่งการที่เราเติมคำว่า Angel เข้าไปหน้าคำว่านักลงทุนนั้น ก็เพื่อจะบอกว่า นักลงทุนประเภทนี้ เป็น “เทพบุตร เทพธิดาของชาว Startup” นั่นเอง
ส่วนใหญ่ Angel Investor จะเป็นบุคคลทั่วไปที่ใช้เงินทุนของตนเอง และมีทุนไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับสถาบันการเงิน หรือ Venture Capital
- Venture Capital หรือเรียกย่อๆ ว่า VC คือ ธุรกิจการร่วมลงทุน เป็นการนำเงินลงทุนเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัท เปรียบเสมือนการอยากจะเปิดบริษัทใดบริษัทหนึ่งแต่เงินทุนไม่เพียงพอ จึงต้องการระดมทุน จากเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือ นักลงทุนท่านอื่น ซึ่งเจ้าของเงินทุนเหล่านี้จะได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัทด้วย และเมื่อถึงเวลาที่บริษัทมีกำไรก็จะทำการแบ่งตามสัดส่วนของการถือหุ้น
Venture Capital เป็น Private Equity Capital (การลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์)ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการลงทุนในกิจการที่เกิดใหม่และอยู่ในช่วงของการเติบโต (และอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์) โดยทั่วไปนั้น การลงทุนจะอยู่ในรูปแบบของการซื้อหุ้นของกิจการดังกล่าวด้วยเงินสด ดังนั้นการลงทุนในลักษณะที่เป็น Venture Capital จึงมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
นักลงทุนที่เป็น VC ไม่ได้ต้องการถือหุ้นของบริษัทเราไปตลอด ส่วนใหญ่เมื่อลงทุนไปแล้วประมาณ 3 - 5 ปีและนานสุดไม่เกิน 10 ปี ก็จะเริ่มถอนตัวออกจากการถือหุ้นของบริษัท โดยความคาดหวังของ VC คือต้องการให้บริษัทที่เข้าไปลงทุนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ และจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนอื่นๆ
นอกจากนี้เราต้องรู้จักกับ 4 รอบสำคัญของการลงทุนใน Startup คือ
- Seed Funding วิธีการหาเงินของ Startup ในขั้นตอนแรกนี้ คือการที่มีไอเดียจะทำโครงการสักโครงการหนึ่ง โดยเงินทุนก้อนแรกที่คนกลุ่มนี้ได้มาส่วนใหญ่มาจากคนในครอบครัว หรือเงินรางวัลจากการส่งไอเดียเข้าประกวดจากองค์กรต่างๆ รวมทั้งได้มาจาก Angel Investor หรือ Venture Capital เงินที่ใช้ในช่วงนี้จะยังไม่มากนัก และนำไปใช้เพื่อทำสินค้าทดลองในตลาดเล็กๆ หรือเริ่มฟอร์มบริษัท ยังไม่มีรายได้ หรือรายได้ยังน้อยมาก ขั้นตอน Seed Funding ส่วนใหญ่ลงทุนกันไม่เกิน 10 ล้านบาท
- Series – A เป็นรอบที่ Startup ต้องการที่จะออกผลิตภัณฑ์หรือขยายการกระจายตัวเข้าสู่ฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น หรือจะขยายตัวไปสู่ตลาดใหม่ รวมไปถึงการปรับรูปแบบทางธุรกิจเพื่อให้เหมาะสมกับตลาดที่กว้างขึ้น โดยที่ Venture Capital ที่จะลงทุนใน Startup นั้นๆ ก็จะวิเคราะห์แล้วว่า Startup นี้สามารถสร้างรายได้ที่ดีได้ในอนาคต และสามารถคำนวณหามูลค่าบริษัทที่แท้จริง โดยปกติแล้วในขั้นตอนนี้จะต้องลงทุนอย่างน้อยประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33 ล้านบาทต่อหนึ่งโครงการ
- Series – B เมื่อตลาดกว้างขึ้น มีผลิตภัณฑ์มากขึ้น เงินลงทุนรอบใหม่ที่ Startup ต้องการก็เพื่อการขยายฐานลูกค้าในระดับที่ใหญ่กว่าประเทศหรือภูมิภาค รวมไปถึงความต้องการที่จะนำเงินไปเพื่อเข้าซื้อบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับธุรกิจของบริษัทนั้นๆ
- Series – C คล้ายๆ กับ Series – B แต่การลงทุนจะเข้มข้นกว่า และ Startup จะต้องประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเป็นรอบที่ Venture Capital ถือว่าเป็น Milestone ที่สำคัญและพร้อมที่จะเข้า IPO หรือ Initial Public Offering (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) ได้เลย
เมื่อรู้จักนักลงทุนใน Startup กันไปแล้ว เรื่องถัดมาที่เราต้องทราบคือ อะไรคือสิ่งที่นักลงทุนมองหาใน Startup?
- ทีมที่ดี เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่นักลงทุนมองหาเลยทีเดียว เพราะลำพังแค่ไอเดียอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ Startup ต้องมีทีมงานที่มีความสามารถมากพอที่จะนำพาธุรกิจไปให้ถึงตามเป้าหมาย หลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “การลงทุนใน Startup เป็นการลงทุนในตัวบุคลากร”
- ผลิตภัณฑ์ (สินค้าและบริการ) นั้นน่าดึงดูดแค่ไหน แก้ปัญหาหรือ Pain Point ของลูกค้าในเรื่องอะไร และมีลูกค้าที่สนใจและใช้บริการของคุณจริงๆ หรือไม่ ถึงแม้ผลงานจะดูดีแต่ไม่มีคนใช้ โอกาสที่จะได้รับเงินทุนก็น้อยลงทันที
- โอกาสในตลาด ขนาดของตลาดนั้นใหญ่หรือมีอัตราการเติบโตมากน้อยแค่ไหน นั่นหมายถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจด้วย จุดสำคัญก็คือ Startup ต้องแสดงให้เห็นภาพว่าทำไมสิ่งที่คุณกำลังนำเสนออยู่มีขนาดของตลาดที่ใหญ่จนน่าดึงดูดนักลงทุนจริงๆ
- แผนธุรกิจที่นำเสนอมีความเป็นไปได้และความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน สมมุติฐานของตัวเลขต่างๆ สอดคล้องกับความเป็นจริงของธุรกิจหรือไม่ มีที่มาที่ไปอย่างไร ตัวเลขที่เกินความเป็นจริงไปมาก ไม่ได้ช่วยให้ การประเมินมูลค่า หรือ Valuation ดูดี แต่อาจส่งผลถึงความน่าเชื่อถือและสะท้อนถึงความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของ Startup เพราะตัวเลขหรือค่าต่างๆ นักลงทุนสามารถตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้
- การรักษาเอกลักษณ์ แม้ว่าธุรกิจของคุณนั้นจะไปได้ดี แต่ถ้านักลงทุนมองว่าเป็นธุรกิจที่ลอกเลียนแบบได้ง่าย นักลงทุนก็อาจไม่สนใจลงทุนได้เหมือนกัน ข้อนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ Startup ต้องตระหนัก เพราะนอกจากจะขายความต่างแล้ว สิ่งสำคัญคือเอกลักษณ์ที่คู่แข่งหรือใครก็ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ