ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ทำความรู้จักหุ้น Meme ก่อนลงทุน
“Meme Stock” หรือ หุ้นมีม คือ หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้น และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการของบริษัท แต่เป็นเพราะกระแสข่าวที่ส่งต่อ ๆ กันบนโลกโซเชียลมีเดีย เช่น กรุ๊ปไลน์ที่มีสมาชิกเป็นนักลงทุนรายย่อย หรือเว็บไซต์ที่นักลงทุนรายย่อยรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลตลาดหุ้น
เมื่อมีการสร้างกระแสข่าวหุ้นตัวนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกกันว่า ไวรัล (Viral) ทำให้เกิดการซื้อขายและทำให้หุ้นมีราคาเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นสูงกว่ามูลค่าที่ประเมินได้
ยกตัวอย่างหุ้น Meme
หุ้นมีม ที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ GameStop (GME) , AMC Entertainment Holdings, Inc. (AMC), BlackBerry (BB) และ Bed Bath & Beyond (BBBY) แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะทำผลงานได้ไม่ดีในช่วงปีที่ผ่านมา แต่กลับเป็นที่นิยมและราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปลายเดือนมกราคมปี 2564
ยกตัวอย่าง หุ้น GameStop (GME) ที่เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมปี 2564 มีราคาอยู่ที่ 17.25ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่อยู่ในช่วงเดียวกันอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2563 หลังจากนั้นในวันที่ 28 มกราคม ปี 2564 ราคาปิดที่ 483.00 ดอลลาร์ ซึ่งปรับสูงขึ้นประมาณ 2,700% โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานด้านผลประกอบการแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะข่าวที่เผยแพร่กันอย่างรวดเร็วจนเป็นกระแสบนโลกโซเชียลว่า กองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) ได้ทำการ Short Sell หุ้นดังกล่าว (Short Sell คือ การยืมหุ้นมาขาย ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง) ทำให้นักลงทุนรายย่อยทยอยเข้าไปซื้อหุ้น GME จนทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อราคาหุ้นปรับสูงขึ้น กองทุนที่ทำ Short Sell เอาไว้จะถูกบังคับให้ปิดสถานะด้วยเหตุผลหลักๆ คือ การขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น โบรกเกอร์ที่ให้ยืมหุ้นจะเริ่มกังวลว่ากองทุนจะมีเงินซื้อหุ้นมาคืนตามที่ยืมไปจริงหรือไม่ อาจมีมาตรการเรียกเงินหลักประกัน และอีกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น คือ เจ้าของหุ้นที่ให้ยืมอาจจะเรียกร้องเอาหุ้นคืนเพราะราคาสูงขึ้น จึงต้องการนำไปขายทำกำไรเอง ส่งผลให้กองทุนที่ทำการ Short Sell ต้องนำเงินไปซื้อหุ้นในตลาดมาคืนหรือถูก Short Squeeze ยิ่งเป็นการเร่งให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก (Short Squeeze คือ ลักษณะไล่ซื้อหุ้นที่ถูก Short Sales มาก ๆ และมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด ณ ขณะนั้นในระดับต่ำ เพื่อกดดันให้ผู้ที่ทำธุรกรรม Short Sales เร่งซื้อหุ้นไปส่งมอบคืน)
หุ้น Meme มีความเคลื่อนไหวและมีวัฏจักรอย่างไร
การเคลื่อนไหวและวัฏจักรของหุ้นมีม เกิดจากนักลงทุนจำนวนหนึ่งเห็นว่าหุ้นบางตัวมีราคาต่ำเกินไปและเริ่มซื้อในปริมาณมาก จนทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ต่อมาจะมีนักลงทุนอีกกลุ่มเริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายและราคาปรับเพิ่มขึ้น จึงเริ่มเข้ามาซื้อตาม
ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นตามความต้องการ และในที่สุดข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นจะแพร่สะพัดไปทั่วในโลกออนไลน์ จนเกิดปรากฏการณ์ FOMO (Fear of Missing Out) ที่ทำให้นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นตัวนี้ในครอบครองกลัวว่าจะพลาด ก็จะรีบเข้ามาซื้อเพราะคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปอีกและสามารถทำกำไรได้ ในที่สุดจะเป็นช่วงจุดสูงสุด (Peak) ของการซื้อขายเพราะผู้ที่เริ่มลงทุนไว้แต่ต้นจะเริ่มขายออกเมื่อเห็นส่วนต่างราคาที่สามารถทำกำไรได้
หลังจากที่มีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องจากการเริ่มทยอยขายทำกำไร ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่าหากถือหุ้นนี้ต่อไปอาจขาดทุนจึงทำให้เกิดแรงขายจนราคาหุ้นปรับลดลงในที่สุด จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้กำไรนั้นคือผู้ที่เริ่มลงทุนแต่แรก ๆ และกลุ่มที่อาจจะขาดทุน คือ กลุ่มที่กลัวว่าจะพลาดการมีหุ้นนี้ไว้ในครอบครองและเข้ามาซื้อในช่วงที่ราคาขายขึ้นไปสูงมากแล้ว
เนื่องจากหุ้นมีมเป็นการลงทุนโดยไม่ได้อิงจากปัจจัยพื้นฐานแต่เกิดจากกระแสการลงทุนในหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น ผู้ที่จะใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นประเภทนี้จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่จะเข้าลงทุน ราคาสูงไปแล้วหรือไม่ มีความเป็นไปได้ในการทำกำไรได้อีกมากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่ได้มาจากสื่อออนไลน์มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เพื่อจะได้ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเทียบกับผลตอบแทน
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมากระแสการลงทุนหุ้นมีมจะนาน ๆ เกิดขึ้นสักครั้ง แต่เมื่อการสื่อสารบนโลกโซเชียลมีเดียมีบทบาทต่อการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์หุ้นมีมมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนจึงต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงให้รอบครอบเป็นอันดับแรก เพราะหุ้นประเภทนี้ไม่มีปัจจัยพื้นฐานใด ๆ รองรับ หากลงทุนผิดพลาดย่อมเกิดความเสียหายอย่างมาก