ลงทุนแบบความผันผวนต่ำ (Low Volatility) ในตลาดทุนไทย

ในปัจจุบันโลกที่เต็มไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของการสื่อสารที่ทำให้การเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับด้านการลงทุนมีความสะดวกสบายมากขึ้น นักลงทุนจึงสามารถหาข้อมูลและความรู้ได้อย่างมากมายและหลากหลาย โดยเฉพาะเทคนิคการคัดเลือกหุ้นแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกหุ้นแบบ Value Investor (VI) การเลือกหุ้นประเภทหุ้นเติบโต (Growth Stock) หรือการเลือกหุ้นด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ศาสตร์ความรู้เกี่ยวกับการผสมหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อจัดเป็นพอร์ตลงทุนนั้นยังไม่ได้มีมากและแพร่หลายเหมือนกับความรู้ในการเลือกหุ้นรายตัว และนักลงทุนส่วนใหญ่อาจไม่ใส่ใจในประเด็นการจัดพอร์ตลงทุน จึงให้น้ำหนักลงทุนหุ้นแต่ละตัวตามความชอบส่วนตัว โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงแฝงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างหุ้นแต่ละตัว เช่น ถ้าเรากระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน 3 ตัว ถึงแม้ว่าจะลดความเสี่ยงที่อาจเกิดกับรายบริษัทได้ แต่ไม่ได้ลดความเสี่ยงในกรณีเกิดเหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อปัจจัยน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลทันทีต่อหุ้น 3 ตัวนี้ไปพร้อมๆ กัน


ทั้งนี้ ด้วยสภาวะตลาดทุนปัจจุบันยังมีความผันผวนที่สูงมาก และสามารถปรับตัวขึ้น-ลงได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือมีการซื้อขายหุ้นที่คร่อมจังหวะไปหมด เช่น เข้าซื้อตอนหุ้นราคาแพงแล้วกลับมาขายขาดทุนวนซ้ำๆ กันไป เป็นต้น ดังนั้นแนวทางหนึ่งในการจัดพอร์ตให้รอดในสภาวะตลาดเช่นนี้คือ การจัดพอร์ตลงทุนแบบความผันผวนต่ำ (Low Volatility) โดยการลงทุนแบบความผันผวนต่ำนี้ประกอบด้วย 2 ปัจจัยหลักคือ การคัดเลือกหลักทรัพย์ และการจัดพอร์ตการลงทุน

1099878122

การคัดเลือกหลักทรัพย์สำหรับพอร์ตความผันผวนต่ำคือ เน้นหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานที่ดี ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง สามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกถึงบริษัทที่มีศักยภาพทางการเงินที่ดี นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการดำเนินการที่สามารถคาดการณ์ได้ โดยทั่วไปแล้วหลักทรัพย์ของบริษัทประเภทนี้จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และมีความผันผวนในราคาต่ำ มีความเสี่ยงที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์อื่นๆ อีกทั้งมีโอกาสไม่มากที่ราคาหลักทรัพย์จะปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว


การจัดพอร์ตการลงทุนคืออีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน
 เพราะการเลือกหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำนั้นมักทำให้การเลือกหลักทรัพย์จะมาจากกลุ่มธุรกิจเดียวกันในจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค อุปโภค บริโภค เนื่องจากธุรกิจประเภทนี้เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ ซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นกลุ่มธุรกิจประเภทเดียวกันในจำนวนมากนั้นอาจทำให้ขาดการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นในธุรกิจเดียวกันมีความสัมพันธ์ที่สูง กล่าวคือ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในกลุ่มธุรกิจนี้ หุ้นในกลุ่มธุรกิจเดียวกันนี้มักจะปรับตัวลงพร้อมๆ กัน ดังนั้นการจัดพอร์ตโดยการกระจายหลักทรัพย์ไปยังหลายๆ กลุ่มธุรกิจ จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากหลายๆ แหล่งได้ และเทคนิคท้ายที่สุดคือ การให้น้ำหนักการลงทุนที่กลับข้างกันกับความผันผวนในหุ้นตัวนั้นๆ เช่น จะให้น้ำหนักลงทุนมากกับหุ้นที่ผันผวนต่ำ และให้น้ำหนักน้อยกับหุ้นที่ผันผวนสูง ก็จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสนใจเข้าลงทุนหรือมีพอร์ตลงทุนแบบความผันผวนต่ำ นอกเหนือจากการศึกษาข้อมูลเพื่อจัดพอร์ตด้วยตนเองแล้ว ยังสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่ปัจจุบันมีบริษัทจัดการกองทุนที่นำเสนอกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเน้นจัดพอร์ตให้มีความผันผวนต่ำ ซึ่งกองทุนประเภทนี้เองก็จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าตลาด แม้ว่ากองทุนประเภทนี้อาจยังมีจำนวนกองทุนที่เสนอขายออกมายังไม่มากนัก แต่เชื่อได้ว่าในอนาคตกองทุนประเภทนี้จะมีจำนวนมากขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนแบบความผันผวนต่ำ เพื่อสร้างโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่มั่นคง และมีความเสี่ยงที่ลดลงกว่ากองทุนหุ้นโดยทั่วไป


บทความโดย คุณนันท์มนัส เปี่ยมมนัส  Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด


ข้อมูล ณ วันที่  30 สิงหาคม 2566


ที่มา :  The Standard Wealth