เริงร่าท้าปีกระต่ายกับ 4 ธีมลงทุนที่น่าสนใจ

ถ้าถามว่าการลงทุนต่อจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี เราจะต้องเจอกับอะไร SCB CIO ก็มองว่า นี่คือ ช่วงเวลาแห่งฟ้าหลังฝน กับโอกาสที่เกิดขึ้นหลังพายุใหญ่พัดผ่านไปแล้ว (Opportunity After a Perfect Storm) จากร้ายในปี 2022 ที่ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ปรับลดลงพร้อมกัน จะกลายเป็นดี คือ ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จะฟื้นคืนชีพมา ด้วยปัจจัยบวกที่มารอต้อนรับมีอยู่มากกว่าปัจจัยลบ


ในบรรยากาศการลงทุนเช่นนี้ SCB CIO วิเคราะห์โอกาส พร้อมกองทุนที่น่าสนใจที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตลงทุนในปี 2023 ได้ มัดรวมออกมาเป็น 4 ธีมลงทุน ดังนี้


4 ธีมหลักในการลงทุนปี 2023


1.จับทิศทางดอกเบี้ยใกล้สูงสุด ด้วยพันธบัตร Long Duration และหุ้นกู้ Investment Grade


หลังจากปี 2022 ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงิน ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง นำทีมโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มาถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า ดอกเบี้ยในหลายประเทศเพิ่มขึ้นใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว อย่างเช่น Fed ที่เพิ่งขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งแรกของปี 2023 และ SCB CIO คาดการณ์ว่า มีแนวโน้มจะขึ้นอีก 2 ครั้งถัดไป คือ ในการประชุมเดือน มี.ค. และพ.ค. จากนั้นก็จะคงดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 5.25% ยาวไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งธนาคารกลางอื่นๆ ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็คงจะเริ่มคงดอกเบี้ยตามติด Fed มา


ด้วยสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นใกล้สูงสุด และมีแนวโน้มจะชะลอลงจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว เราแนะนำการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยระยะยาว (Long Duration) รวมถึงหุ้นกู้คุณภาพดี ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับ Investment Grade เทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง จากความไม่แน่นอนที่ลดลงในเรื่องอัตราดอกเบี้ย เป็นผลดีทำให้ราคาหุ้นกู้ Investment Grade ปรับเพิ่มขึ้น


กองทุนแนะนำ ที่อยู่ในธีมนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ยูเอส แอกกริเกท บอนด์ ฟันด์ หรือ MUBOND-A
กองทุนนี้ ลงทุนใน JPMorgan Funds US Aggregate Bond เน้นลงทุนใน US High Quality Bond คุณภาพสูง จำนวนกว่า 2,000 ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยของสหรัฐฯ


ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ High Quality Credit ระยะยาว จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ เมื่อ Fed ทำการหยุดขึ้นดอกเบี้ย และมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในอนาคต


ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุนในปีที่ผ่านมาติดลบจากการที่ Bond Yield สหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ปีนี้ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย และอาจปรับลดลง จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้


สำหรับกองทุนนี้ มีความเสี่ยงระดับ  4 คือ เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ และเนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่การฝากเงิน ดังนั้นผู้ลงทุนยังมีโอกาสขาดทุนได้อยู่


(ที่มาข้อมูล : https://www.mfcfund.com/Web//UploadFiles/IPOFiles/IPO%20ffs_MUBOND_D_A_15032023_111507.pdf )

1972326362

2.เปิดรับพลังจีนเปิดประเทศกับหุ้นจีน และหุ้นไทย


เมื่อประตูแดนมังกรเปิดกว้างอีกครั้ง เศรษฐกิจจีนก็ได้เวลาแล้วที่จะกลับมาคึกคัก จากการที่คนจีนออกมาใช้จ่ายอุ่นหนาฝาคั่ง หลังยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวด


ต้องยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนอำลาหุ้นจีนกันไปชั่วคราว เพราะกังวลทั้งเรื่องโควิด แถมยังมีเรื่องที่ภาครัฐเข้าไปคุมเข้มจัดระเบียบธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์  แต่เมื่อจีนเร่งเปิดประเทศเร็วกว่าคาด พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้หุ้นจีนฟื้นตัวโดดเด่น


ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้หุ้นจีนน่าลงทุนมากขึ้น จากการที่บริษัทจดทะเบียนในจีน อาจจะได้รับการปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์เด่นชัดบนการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายบริโภคที่มาจากนักท่องเที่ยวจีน


กองทุนแนะนำ ที่อยู่ในธีมนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ แอคทีฟ หรือ SCBASHARES(A)
ซึ่งลงทุนใน Schroder International Selection Fund China A โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นจีน A-shares เน้นการคัดเลือกหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน Bottom-up เลือกหุ้นที่มีคุณภาพดีและมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง มีการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นจำนวนกว่า 70-80 บริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม


ผู้จัดการกองทุนเน้นลงทุนในหุ้น Growth ที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ทั้ง Ping AN บ.ประกันอันดับ 1 ในจีน KWEICHOW MOUTAI บริษัทผลิตสุรา Luxury อันดับ 1 ของจีน หรือ SF Holding บ.โลจิสติกส์ชั้นนำที่ถือหุ้นใหญ่ Kerry Logistic


สำหรับกองทุนนี้ เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6 คือ เสี่ยงสูง เนื่องจากลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV และกองทุนหลักอาจลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีโอกาสที่จะมีความผันผวนสูง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์จะส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้เช่นกัน นอกจากนี้กองทุนยังลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อาจส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปลี่ยนแปลง ทำให้เงินต้นและผลตอบแทนรูปแบบเงินบาทผันผวนตามไปด้วยได้


(ที่มาข้อมูล : https://www.scbam.com/medias/fund-doc/prospectus/SCBASHARES(A).pdf )

3.ลงทุนดีต่อโลก ดีต่อพอร์ตระยะยาว กับธีม ESG กลุ่มอนุรักษ์พลังงาน


ประเด็น สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG กำลังได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ส่งผลให้กองทุน ESG เติบโตต่อเนื่องไปด้วย


ขณะที่การวัดผลด้าน ESG (ESG Rating) เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุน ซึ่งเมื่อพิจารณาผลตอบแทนในกรณีที่พิจารณาถึงความผันผวนด้วย (Risk-adjusted return) พบว่า ผลตอบแทนที่ได้จากผลิตภัณฑ์ทางการเงินในกลุ่ม ESG น่าสนใจกว่ากลุ่ม non ESG ทำให้การลงทุนในกลุ่ม ESG เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะที่เศรษฐกิจและการเงินโลกในปัจจุบันที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยธีมนี้เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว มากกว่าคาดหวังผลตอบแทนระยะสั้น


สำหรับธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนที่สุด จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีเวทีการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติปี 2022 หรือ COP27 ช่วยเร่งความสนใจ


กองทุนแนะนำ ที่อยู่ในธีมนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีรีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี หรือ MRENEW-A
ซึ่งลงทุนใน BGF Sustainable Energy Fund เพียงกองทุนเดียว เป็นกองทุน ESG หุ้นต่างประเทศ เน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานยั่งยืน โดยเน้นลงทุนในกลุ่ม Clean Energy , Clean transportation และ Energy Efficiency โดยจะลงทุนแบบ High Conviction ลงทุนในหุ้นเพียง 30-60 บริษัท


สำหรับหุ้นที่กองทุนหลักของ MRENEW-A ลงทุน ประกอบด้วยธุรกิจหลากหลายประเภท ได้แก่ NEXTERA บริษัทผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ หรือบริษัท LGCHEM และ SAMSUNG SDI ที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ Lithium ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ เช่น Tesla, BMW ซึ่งกำลังได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลก


ทั้งนี้ กองทุน MRENEW-A มีการฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจากการที่ตลาดคลายความกังวลเรื่อง Bond Yield และการที่ราคาพลังงานในยุโรปสูงขึ้น ส่งผลให้หุ้นพลังงานทางเลือกเป็นกลุ่มที่นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นความสำคัญมากขึ้น และการที่มูลค่าหุ้นยังถูกอยู่ เป็นปัจจัยที่ทำให้กองทุนปรับตัวขึ้นได้ดีต่อเนื่อง


ในระยะยาวนั้น กองทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากเทรนด์พลังงานสะอาด และ ESG ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ขณะที่ระยะสั้นก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการที่ปีนี้ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย


สำหรับกองทุนนี้ มีความเสี่ยงระดับ 7 คือ เสี่ยงสูง โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลของหมวดอุตสาหกรรมดังกล่าวเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมด้วย


(ที่มาข้อมูล : https://www.mfcfund.com/Web/FundFiles/FundFactSheetPDFs/ffs/th/MRENEW.pdf )


4.พอร์ตลงทุนแบบมืออาชีพที่ใครๆ ก็มีได้ กับกองทุนที่ผู้เชี่ยวชาญจัดพอร์ตให้


เทรนด์สุดท้ายฮอตฮิตไม่แพ้ใคร คือ การลงทุนผ่านกองทุนสำเร็จรูปที่จัดพอร์ตลงทุนแบบมืออาชีพ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนเรื่องการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (Asset Allocation) และปรับสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนได้ทันสถานการณ์ โดยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญการลงทุน  เหมือนอาหารพร้อมรับประทาน ที่ปรุงมาโดยเชฟฝีมือดี


กองทุนแนะนำ ที่อยู่ในธีมนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Cross Asset Investment Opportunity หรือ SCBCIO(A)
โดยกองทุนนี้ เป็นกองทุนรวมผสมลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งในไทยและต่างประเทศ มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ต สามารถปรับสัดส่วนถือเงินสดได้ 0-100% โดยมีการจ้างทาง SCB Chief Investment Office (SCB CIO) เป็นที่ปรึกษาการลงทุน ร่วมทำงานกับผู้จัดการกองทุนอย่างใกล้ชิด


ถ้าเปรียบแล้ว SCBCIO(A) ก็เหมือนกองทุน ONE-Stop Fund ที่คัดสรรกองทุนรวมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสะท้อนมุมมอง กลยุทธ์การลงทุนและการคัดเลือกกองทุน เพื่อนำมาลงทุนในกองทุนนี้ ภายใต้ความเสี่ยงโดยรวมที่ระดับปานกลาง (Moderate) ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมตามสภาวะตลาด


สำหรับกองทุนนี้ มีความเสี่ยงระดับ 5 คือ เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนหรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวอาจมีความผันผวนสูง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาทรัพย์สินก็จะส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่อาจส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนเปลี่ยนแปลง อาจทำให้เงินต้นและผลตอบแทนในรูปเงินบาทผันผวนตามไปด้วย


(ที่มาข้อมูล :https://www.scbam.com/medias/fund-doc/prospectus/SCBCIO(A).pdf)


โดยรวมแล้ว หากผู้ลงทุนกำลังเริ่มนับหนึ่งมองหาธีมการลงทุนที่น่าสนใจ ที่จะช่วยให้พอร์ตลงทุนปี 2023 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ 4 ธีมที่กล่าวมานี้ ก็ถือว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

คำเตือน

- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

- กองทุน SCBCIO ได้ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาการลงทุน ซึ่งธนาคารฯ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นตัวแทนสนับสนุนการซื้อขายกองทุนรวมกับบลจ. ไทยพาณิชย์ จึงอาจมีธุรกรรมที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

- ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (เช่น www.scbam.com )


บทความโดย SCB CIO Office [คุณจารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ (IC Complex1)/ผู้วางแผนการลงทุน (IP) license no. 114051]


จัดทำ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566