ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
สถานการณ์ต้นปีร้ายกว่าที่คาด และปลายปีอาจไม่ดีเท่าที่หวัง โอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่ตรงไหน?
ในปี 2564 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง 21% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงกว่า 30% จากแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยและความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่อย่างไรก็ดีปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 12% ซึ่งยังบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังอยู่ในตลาดหมี
นอกจากนั้นนโยบายการเงินที่ตึงตัวกว่าที่คาดส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนมากขึ้น จากเดิมที่คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในเดือนมีนาคม 2566 และจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เทียบกับที่ตลาดคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2566 แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะยังไม่มีสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ในมุมของกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นเข้าสู่สภาวะกำไรถดถอย (Profit Recession) แล้วตั้งแต่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
จากการคาดการณ์ของตลาดจะพบว่ากำไรในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีแนวโน้มลดลง 6%YoY เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลง 1%YoY ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงของการปรับประมาณการลง ซึ่งปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีแล้วกว่า 4% ด้วยภาพเช่นนี้ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแล้วมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นค่อนข้างแพง
ดังนั้น ด้วย 3 ปัจจัยข้างต้น 1. นโยบายการเงินที่ตึงตัวกว่าที่คาด 2. เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและกำไรถดถอย และ 3. Valuation ค่อนข้างแพง ทำให้
เรามองว่าต้องใช้ความระมัดระวังกับความคาดหวังของตลาดและการลงทุน จึงมีความจำเป็นต้องเลือกหุ้นมากขึ้น
จากข้อมูลในอดีตเราจะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะออกจากตลาดหมีและแปลงเป็นตลาดกระทิงนั้นต้องมีเงื่อนไขสองอย่าง 1. เศรษฐกิจต้องผ่านจุดต่ำสุดโดยใช้ ISM และการขอรับสวัสดิการว่างงานเป็นตัวกำหนด และ 2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องมีการเปลี่ยนท่าทีของนโยบายการเงิน ซึ่งมองว่า Fed จะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ เรามองว่า
โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยมีค่อนข้างจำกัด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวรุนแรง
สำหรับกรอบความคิดในการเลือกหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แบ่งได้เป็น 1. ลงทุนตามแนวโน้มเศรษฐกิจ 2. ลงทุนตามวัฏจักร 3. ลงทุนตามแนวโน้มกำไร โดยเราจะแบ่งเป็นกลุ่มที่ชอบและไม่ชอบดังต่อไปนี้
กลุ่มที่ชอบได้แก่
1. กลุ่มที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สามารถต่อสู้กับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้ดี และการขึ้นราคาสินค้ากระทบกับอุปสงค์ที่ค่อนข้างจำกัด ได้แก่ McDonald’s, Starbucks, Philip Morris, P&G, Verizon ซึ่งเป็นหุ้นกึ่งเชิงรับที่สามารถลดแรงกระแทกจากเศรษฐกิจถดถอยได้ในระดับหนึ่ง
2. กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
อย่างกลุ่ม Software ที่แนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ตามการคาดการณ์ของบริษัท โดยเราชอบ Microsoft และ Salesforce รวมถึงกลุ่ม Cybersecurity ที่มองว่าอุปสงค์แข็งแกร่งอย่าง Palo Alto Networks
3. กลุ่ม Online Travel Agent
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทที่อิงกับการท่องเที่ยวอย่าง โรงแรม สายการบิน และสนามบิน นอกจากนั้นราคาฟื้นตัว 40% เมื่อเทียบกับ Pre COVID-19 แต่ยอดจองนั้นฟื้นตัวได้โดดเด่นกลับไปแล้วกว่า 60-70% ของ Pre COVID-19 เมื่อเทียบกับยอดจองในเดือนธันวาคม 2565 ที่อยู่ที่ 7% ในกลุ่มนี้บริษัทที่แข็งแกร่งที่สุด ได้แก่ Booking.com หากต้องการเล่นบนการฟื้นตัวของจีนให้ไปที่ Expedia
4. กลุ่มพลังงานสะอาดอย่าง Hydrogen
ที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาด และมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในกลุ่มนี้เราชอบ Linde ที่เป็น Integrated Supply Chain ในตลาดสหรัฐฯ มีบริษัทที่ทำ Electrolysis น้อย
กลุ่มที่รอซื้อ ได้แก่
1. กลุ่ม Semiconductor โดยกลุ่มนี้เรามองว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 จะเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของปี และหดตัวมากที่สุดในรอบขาลงตั้งแต่ปี 2565 ทำให้เรารอประเมินหลังผลประกอบการไตรมาสที่ 1 โดยมีแนวโน้มการฟื้นตัว ปริมาณสินค้าคงคลังเป็นความเสี่ยงหลัก และรอให้ราคาย่อตัวลงมาเพื่อแต้มต่อในการลงทุนมากขึ้น โดยในกลุ่มนี้เราชอบ NVIDIA และ TSMC โดยเรามองว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมนี้จะเห็นในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เป็นต้นไป
2. กลุ่มการเงิน ตามสถิติของกลุ่มการเงินจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงที่เศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดแต่ยังไม่ถึงกับขยายตัว ทำให้เรามองว่าเหมาะกับนักลงทุนที่อยากลงทุนในวัฏจักรเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน
กลุ่มที่หลีกเลี่ยง ได้แก่
1. กลุ่ม E-Commerce (eBay, Etsy, Amazon, Alibaba, JD.com, Pinduoduo) ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่คาดและมีการแข่งขันมากขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคที่ทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ทำให้ยอดขายชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นบน Upside นอกจากนั้น Platform ของจีนมีการสนับสนุนหรือสร้างสงครามราคา อาจจะส่งผลให้การฟื้นตัวของกำไรนั้นช้ากว่าที่คาด
2. กลุ่ม Cloud (Snowflake, Alphabet) กลุ่มนี้ถือว่ามีการชะลอตัวลงชัดเจนจากภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้หลายบริษัทปรับลดการลงทุนใน Cloud มากขึ้น ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้แม้ว่าจะเติบโตแต่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าก่อนหน้านี้
3. กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Tesla, NIO, Rivian, Li Auto) เรามองอุปสงค์ไม่ใช่ความเสี่ยงของกลุ่มนี้ แต่ค่อนข้างกังวลกับการแข่งขันและการสร้างสงครามราคาเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง ซึ่ง Tesla มีการปรับราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายบริษัทมีการปรับราคาลงเพื่อรักษาส่วนต่างราคาเอาไว้ และผู้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กก็ให้แนวโน้มยอดผลิตที่ต่ำกว่าที่คาด ทำให้เรามองประเด็นการแข่งขันอาจจะทำให้กดดันกำไรและ Valuation แนะนำให้ไปลงทุนในผู้ผลิต Charger อย่าง EVgo
แม้ว่าในภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในช่วงเวลาที่ตลาดยังไม่ออกจากตลาดหมี และดูเหมือนมีความเสี่ยงรุมเร้าทำให้ต้นร้ายกว่าที่คิดและปลายไม่ดีอย่างที่หวัง แต่เรายังเห็นโอกาสในการลงทุนในสหรัฐฯ อยู่พอสมควร ผ่านมุมมองทั้งวัฏจักรของอุตสาหกรรมและแนวโน้มกำไร ผมหวังว่านักลงทุนจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยจากบทความนี้ และอย่าลืมว่า InnovestX Application สามารถลงทุนในหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นได้หมด ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
บทความโดย คุณสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนาคม 2566
ที่มา
The Standard Wealth