ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
เรื่องควรรู้ ก่อนซื้อกองทุนหุ้น
การลงทุนในตลาดหุ้น หากนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ มีเวลา และยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับสูงก็สามารถซื้อขายหุ้นได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ประสบการณ์ยังไม่มาก มีเงินจำนวนจำกัด ไม่มีเวลาติดตามข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน ก็ต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้น
กองทุนรวม (Mutual Fund) จัดตั้งขึ้นโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม หรือเรียกสั้นๆ ว่า บลจ. โดย บลจ. จะนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ รายมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ แล้วก็นำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จากนั้นก็นำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น โดยมีมืออาชีพหรือที่เรียกว่าผู้จัดการกองทุน เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามนโยบายการลงทุนที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน
ถึงแม้ว่าแต่ละกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เติบโต แต่ผู้ลงทุนก็ไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงแค่อ่านนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน แต่ต้องเข้าไปศึกษาดูรายละเอียดพอร์ตลงทุนของกองทุนรวมนั้น เพราะถึงแม้กองทุนจะเป็นประเภทเดียวกันแต่จะมีนโยบายการลงทุนแตกต่างกัน
กองทุนรวมหุ้นแต่ละกองทุนมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุน ซึ่งสามารถพิจารณาเลือกกองทุนรวมหุ้นที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนได้ โดยเลือกลงทุนตามรูปแบบหรือนโยบาย ดังนี้
1. กองทุนรวมหุ้นแบ่งตามสไตล์การลงทุนของกองทุน
2. กองทุนรวมหุ้นแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม
กองทุนประเภทนี้จะระบุนโยบายชัดเจนว่าเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มอุปโภคบริโภค เป็นต้น หากผู้ลงทุนมองว่าอุตสาหกรรมใดน่าสนใจ ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่เน้นหุ้นในกลุ่มธุรกิจนั้นได้
3. กองทุนรวมหุ้นแบ่งตามขนาดของหุ้นที่ลงทุน
เนื่องจากหุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่มีลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน เช่น อัตราการเติบโตของธุรกิจ อัตราการจ่ายเงินปันผล ระดับความเสี่ยง ทำให้มูลค่าของหุ้นในแต่ละขนาดมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
ดังนั้น จึงมีกองทุนรวมหุ้นที่แบ่งตามขนาดของหุ้นที่ลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน ผู้ลงทุนบางกลุ่มอาจชอบลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก เพราะหุ้นขนาดเล็กอาจมีโอกาสเติบโตที่มากกว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน หรือผู้ลงทุนอาจจะเลือกลงทุนเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะบริษัทมีฐานะการเงินมั่นคงกว่า
4. กองทุนรวมหุ้นที่แบ่งตามนโยบายปันผล
ผู้ลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดระหว่างการลงทุน สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายการจ่ายปันผลหรือมีนโยบายการขายคืนแบบอัตโนมัติได้ ซึ่งจำนวนครั้งที่กองทุนกำหนดจ่ายเงินปันผลจะแตกต่างกันออกไป เช่น 1 ปี, 6 เดือน หรือจ่ายเงินปันผลไตรมาสละครั้ง โดยเงินปันผลที่ผู้ลงทุนได้รับจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
5. กองทุนรวมหุ้นที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นนอกจากกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้นและเงินปันผลจากกองทุนรวมแล้ว กองทุนรวมหุ้นบางประเภทสามารถนำมาใช้สิทธิในการลดหย่อนได้ด้วย
ข้อดีของกองทุนรวมหุ้น นอกจากจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดหุ้นที่คอยบริหารเงินผู้ลงทุนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง กองทุนรวมหุ้นถือเป็นช่องทางการเงินที่เหมาะกับผู้ที่มีเป้าหมายการวางแผนการเงินในระยะยาว เนื่องจากหากใช้เวลาลงทุนเป็นระยะเวลานานและลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น 10 ปี หรือ 20 ปี จะสามารถลดโอกาสการขาดทุนลงได้ ขณะที่ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง กองทุนรวมหุ้น เหมาะกับผู้ที่มีเงินลงทุนจำนวนจำกัด เนื่องจากสามารถลงทุนได้ครั้งละไม่กี่บาท เช่น 1,000 บาท และสามารถซื้อขายได้สะดวกสบาย โดยปัจจุบันทำธุรกรรมในรูปแบบออนไลน์ได้ทุก บลจ. แล้ว
สำหรับจำนวนกองทุนรวมหุ้นที่เหมาะสมในแต่ละคน ไม่มีสูตรตายตัว อย่างไรก็ตาม อาจใช้กลยุทธ์แบ่งออกเป็น 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนหุ้นหลักและกองทุนหุ้นรอง โดยกองทุนหลักให้เน้นกองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นคุณค่า หรือเน้นลงทุนหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 และ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น
สำหรับกองทุนหุ้นรอง ก็เน้นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจสูง และถ้ามีเงินเหลือก็กองทุนรวมผสมอีกสักกอง
ส่วนการลงทุนกองทุนรวมที่ดี ก็คือ กลยุทธ์แบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging : DCA) ด้วยการทยอยลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว โดยกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุนและช่วงเวลาได้ เช่น ทุกๆ สิ้นเดือน ลงทุนกองทุนรวมหุ้น 1 กอง จำนวนเงิน 1,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ปี 2561 ผู้ลงทุนที่ใช้การลงทุนแบบ DCA จะได้รับผลขาดทุนเช่นเดียวกัน ซึ่งก็เป็นไปตามสภาวะการลงทุนโดยรวม โลก แต่ข้อดีของการใช้กลยุทธ์ดังกล่าวในการลงทุนช่วงหุ้นตกคือ จะได้จำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้นโดยอัตโนมัติ กระนั้นก็ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน ควรเลือกกองทุนหุ้นที่มีประวัติผลการดำเนินที่ดี มีความผันผวนด้านผลการดำเนินงานต่ำ โดยสามารถเลือกกองทุนหุ้นที่ได้รับ Morningstar Rating 4 - 5 ดาว จาก Morningstar ซึ่งเป็นสถาบันการบริการข้อมูลและการวิเคราะห์เกี่ยวกับการลงทุนกองทุนรวมระดับโลก
ดังนั้น การลงทุนแบบ DCA นอกจากจะใช้เงินน้อยแล้ว ยังได้ซื้อในราคาถัวเฉลี่ยที่ไม่สูงจนเกินไป และถ้าตลาดหุ้นปรับขึ้นไปก็จะได้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจ และลดโอกาสขาดทุนสูงๆ กรณีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง