ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
19-03-2568
“ถือ LTF จนครบกำหนดแล้ว ควรจะถือรอย้ายไป Thai ESGX หรือขายไปลงทุนใหม่เอง”
นี่เป็นคำถามในใจที่คนลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ยังไม่ได้ขายคืนหน่วยลงทุน และปัจจุบัน ยังเป็นผู้ที่มีเงินได้ต้องเสียภาษี กำลังคิดอยู่ ว่าจะเลือกทางไหนดี
ลำดับแรก ให้ลองพิจารณาเงื่อนไขของ Thai ESGX ก่อน ว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองหรือไม่ ทั้งในแง่สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ นโยบายการลงทุน และเงื่อนไขต่างๆ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติให้จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) เพื่อให้ผู้ถือ LTF ปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่ากว่า 180,000 ล้านบาท ได้รับทางเลือกเพิ่มเติม โดยสามารถย้ายการลงทุนมาอยู่ในกองทุน Thai ESGX ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี วงเงินสูงสุด 500,000 บาท กำหนดให้ใช้สิทธิในปี 2568 ได้สูงสุด 300,000 บาท และปีที่ 2-5 ใช้สิทธิปีละเท่าๆ กัน สูงสุดปีละ 50,000 บาท รวมเป็น 200,000 บาท
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้เม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุน Thai ESGX โดยกำหนดให้สามารถลงทุนได้หลัง ครม. อนุมัติ โดยเปิดให้ลงทุนในช่วง พ.ค.-มิ.ย. 2568 ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เฉพาะการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2568 เท่านั้น
ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/94257
และเว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/KnowledgeCapitalMarket/Knowledge-CapitalMarket-THAIESGX.aspx
สรุปสาระสำคัญ Thai ESGX
ลำดับถัดมา หากพิจารณาแล้วสนใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี สิ่งที่ต้องทำคือ ถือ LTF ต่อไป ไม่เข้าไปดำเนินการใดๆ กับหน่วยลงทุนทั้งหมดที่มี รอจนกระทั่งถึงช่วงที่เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยัง Thai ESGX แล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอน
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องทราบ คือ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่ถือครอง จะต้องสับเปลี่ยนไปให้ครบทั้งหมด จากทุกกองทุน LTF ที่มีในทุก บลจ. จึงจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีวงเงินสูงสุด 500,000 บาท ได้ ซึ่งในกรณีที่หน่วยลงทุนมีมูลค่ารวมมากกว่า 500,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เพียง 500,000 บาทเท่านั้น
ในกรณีที่ไม่สนใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX สิ่งที่แนะนำให้ทำในลำดับต่อมา ว่าควรจะขายออกหรือถือต่อ คือ พิจารณาจากผลตอบแทนที่รวมเงินปันผล กรณีลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไปแล้วในปีที่ซื้อ LTF
เช่น ในปี 2562 มีเงินได้พึงประเมิน หลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว 1,000,000 บาท ปรากฏว่า ปีนั้นซื้อ LTF ไป 100,000 บาท ทำให้แทนที่จะต้องจ่ายภาษีรวม 115,000 บาท ก็เหลือจ่ายภาษี 95,000 บาท เท่ากับว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไปแล้วในปีที่ซื้อ LTF คือ 20,000 บาท หรือคิดเป็น 20% ของเงินลงทุน LTF
ทั้งนี้ ยิ่งจ่ายภาษีในฐานภาษีที่สูงเท่าไหร่ จะยิ่งมีโอกาสที่ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปแล้วจากการซื้อ LTF สูงเท่านั้น โดยที่อัตราสูงสุดคือไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ซึ่งหากพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไป อาจมีมูลค่าที่เพียงพอจะชดเชยกับการขาดทุนในปัจจุบันได้
หลังพิจารณาประเด็นนี้ มีคำแนะนำให้ดำเนินการกับหน่วยลงทุน LTF ดังนี้
กรณี ผู้ลงทุนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ แนะนำให้ขาย LTF เพื่อไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี หรือซื้อประกันชีวิตต่อ เพื่อวางหลักประกันให้ตัวเองใช้ยามเกษียณ วางแผนการศึกษาให้บุตรหลาน หรือวางแผนส่งต่อทรัพย์สินให้ลูกหลาน เนื่องจากจะได้นำเงินลงทุนก้อนเดิมไปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกครั้ง เพราะหากถือ LTF ต่อ โดยไม่ใช้สิทธิสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยัง Thai ESGX เงินลงทุนก้อนนั้นก็ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีใดๆ
กรณี ผู้ลงทุนที่เกษียณแล้ว ไม่มีเงินได้ หรือเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว แนะนำให้ขาย LTF แล้วนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป ที่ลงทุนในสินทรัพย์ซึ่งสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน โดยหากเกษียณแล้วอาจจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อยลง อาจนำไปลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนผ่านกองทุนผสมที่จัดพอร์ตยืดหยุ่น มีผู้จัดการกองทุนคอยปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือรับความเสี่ยงได้มากขึ้น อาจจะนำไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ ที่มีโอกาสเติบโต แต่หากไม่ต้องการลงทุนในกองทุนรวม อาจจะนำเงิน LTF ไปซื้อประกันชีวิต เพื่อวางแผนหลักประกันให้กับครอบครัว เช่น การส่งต่อทรัพย์สินให้ลูกหลาน ก็ได้
ผู้ลงทุนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ แนะนำให้ขาย LTF เพื่อไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีต่อ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการนำเงินลงทุนไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อ เพราะหากถือ LTF ต่อโดยไม่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยัง Thai ESGX เงินลงทุนก้อนนั้นก็ไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใด หรือกรณีไม่ต้องการลงทุนกองทุนรวมแล้ว อาจจะนำเงิน LTF ไปซื้อประกันชีวิต เพื่อวางหลักประกันให้ตัวเองใช้ยามเกษียณ หรือเพื่อวางแผนการศึกษาให้บุตรหลาน
ผู้ลงทุนที่เกษียณแล้ว ไม่มีเงินได้ หรือเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว หากพึงพอใจกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับไปแล้วในปีที่ซื้อ LTF และมองว่าเพียงพอจะชดเชยผลขาดทุนจากการลงทุนที่เจออยู่ได้ แนะนำให้ขาย LTF แล้วนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป ที่ลงทุนในสินทรัพย์สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน โดยหากเกษียณแล้วอาจจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อยลง อาจนำไปลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนผ่านกองทุนผสมที่จัดพอร์ตยืดหยุ่น มีผู้จัดการกองทุนคอยปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือรับความเสี่ยงได้มากขึ้น อาจจะนำไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ ที่มีโอกาสเติบโต แต่หากไม่ต้องการลงทุนในกองทุนรวม อาจจะนำเงิน LTF ไปซื้อประกันชีวิต เพื่อวางแผนหลักประกันให้กับครอบครัว เช่น การส่งต่อทรัพย์สินให้ลูกหลาน ก็ได้
ผู้ลงทุนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ ยังไม่พร้อมทำใจกับการขายขาดทุน แต่ก็ไม่ต้องการโอนย้ายหน่วยลงทุนไปยัง Thai ESGX อาจจะถือต่อ รอราคาฟื้นตัวก่อนตัดสินใจขายหรือโอนย้ายไปลงทุนต่อ แต่ต้องยอมรับด้วยว่า การถือลงทุนต่อรอราคาฟื้นตัว ก็ยังมีความเสี่ยงที่มูลค่าเงินลงทุน LTF จะลดลงได้อีกในอนาคตเช่นกัน แต่หากพึงพอใจกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับไปแล้วในปีที่ซื้อ LTF และมองว่าเพียงพอจะชดเชยผลขาดทุนจากการลงทุนที่เจออยู่ได้ ก็แนะนำให้ขาย LTF เพื่อนำเงินไปลงทุนลดหย่อนภาษีต่อทันที ซึ่งจะได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับปี 2568 ที่ลงทุนใหม่ทันที และยังไม่เสียโอกาส จากการนำเงินลงทุนก้อนเดิม ย้ายไปหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ ด้วย หรือกรณีไม่ต้องการลงทุนกองทุนรวมแล้ว ก็อาจจะนำเงิน LTF ไปซื้อประกันชีวิต เพื่อวางหลักประกันให้ตัวเองใช้ยามเกษียณ หรือเพื่อวางแผนการศึกษาให้บุตรหลาน
ผู้ลงทุนที่เกษียณแล้ว ไม่มีเงินได้ หรือเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว ยังไม่พร้อมทำใจกับการขายขาดทุน ก็อาจจะถือต่อ รอราคาฟื้นตัว แต่ถ้าทำใจกับการขายขาดทุนได้ ก็เป็นโอกาสดีสำหรับการปรับพอร์ตลงทุน นำเงินจาก LTF ไปเริ่มต้นใหม่กับกองทุนรวมทั่วไป ที่ลงทุนในสินทรัพย์สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน โดยหากเกษียณแล้วอาจจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อยลง อาจนำไปลงทุนในกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ หรือลงทุนผ่านกองทุนผสมที่จัดพอร์ตยืดหยุ่น มีผู้จัดการกองทุนคอยปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือรับความเสี่ยงได้มากขึ้น อาจจะนำไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ ที่มีโอกาสเติบโต แต่หากไม่ต้องการลงทุนในกองทุนรวม อาจจะนำเงิน LTF ไปซื้อประกันชีวิต เพื่อวางแผนหลักประกันให้กับครอบครัว เช่น การส่งต่อทรัพย์สินให้ลูกหลาน ก็ได้
ผลิตภัณฑ์การลงทุนแนะนำ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดดเด่นเรื่องของการมีนโยบายลงทุนให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับคนที่พร้อมลงทุนยาวๆ ได้ เพราะมีเงื่อนไขลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และขายคืนได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งถ้าปัจจุบัน อายุ 50 ปีแล้ว ลงทุนเพียง 5 ปีก็ครบเงื่อนไขและขายคืนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข
ตัวอย่าง :
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เหมาะกับคนที่รักมั่นคงกับการลงทุนในไทย เลือกโดยลงทุนได้ทั้งตราสารหนี้และหุ้นไทย เพิ่มเติมความสบายใจด้วยเงื่อนไขเป็นตราสารที่เข้าเกณฑ์ โดยวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน Thai ESG และ Thai ESGX ในปี 2568 แยกออกจากกัน ผู้ลงทุนสามารถลงทุนใน Thai ESG สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และยังลงทุนใน Thai ESGX เองได้ด้วยเงินลงทุนใหม่ สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทเช่นกัน
ตัวอย่าง :
ประกันชีวิต เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี แต่ต้องการวางหลักประกันเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือเพื่อวางแผนการศึกษาให้บุตรหลาน
ตัวอย่าง
ประกัน 15/5 Pro Max (แบบมีความคุ้มครองโรคร้ายแรง)
ผลิตภัณฑ์การลงทุนแนะนำ สำหรับผู้ลงทุนที่เกษียณแล้ว ไม่มีเงินได้ หรือเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว
กองทุนรวมทั่วไป กองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ สำหรับคนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่สูงมาก
ตัวอย่าง :
กองทุนผสม สำหรับคนที่ไม่มีเวลา ไม่เชี่ยวชาญจัดพอร์ตเอง ต้องการให้ผู้จัดการกองทุนปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ตัวอย่าง :
กองทุนหุ้นต่างประเทศ สำหรับคนที่มีประสบการณ์ลงทุนมานาน รับมือความผันผวนได้ และรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
ตัวอย่าง :
ประกันชีวิต เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี แต่ต้องการวางแผนหลักประกันให้กับครอบครัว เช่น การส่งต่อ ทรัพย์สินให้ลูกหลาน
ตัวอย่าง
ประกัน 15/5 Pro Max (แบบมีความคุ้มครองโรคร้ายแรง)
คำเตือน
จัดทำโดย Wealth and Investment Product Function ณ วันที่ 13 มี.ค. 2568