มีเงินน้อย ก็ลงทุนหุ้นกู้ได้

“บมจ. ABC เสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกและหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ A  กำลังเปิดให้จองซื้ออยู่  เมื่อเห็นข้อมูลนี้แล้ว อยากจะรีบจับจองเป็นเจ้าของหุ้นกู้นี้เสียจริง


แต่เมื่ออ่านเงื่อนไขในบรรทัดถัดมาก็ต้องถอยทันที “เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ จองขั้นต่ำ 1 ล้านบาท” คำถามตามมาว่า หากเป็นนักลงทุนรายย่อย พึ่งเริ่มต้นทำงาน มีเงินลงทุนต่อเดือนหลักพันบาท จะมีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้นกู้ได้อย่างไร    


หุ้นกู้ (Corporate Bond) คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน (ถ้าตราสารหนี้ออกโดยรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เรียกว่า พันธบัตร) เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในการดำเนินกิจการต่างๆ เช่น ขยายธุรกิจ ก่อสร้างโรงงาน ซื้ออุปกรณ์ เป็นต้น โดยหุ้นกู้แบ่งออกเป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่าๆ กัน ซึ่งในประเทศไทยมักกำหนดมูลค่าหุ้นกู้หน่วยละ 100 บาท และ 1,000 บาท  


ตลาดหุ้นกู้แบ่งออกเป็น 2 ตลาด ได้แก่ ตลาดแรก เป็นตลาดสำหรับบริษัทที่ต้องการระดมเงินทุนจากนักลงทุนโดยตรงด้วยการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรก โดยบริษัทจะทำการประกาศวันจอง วันจัดจำหน่าย และสถานที่ในการจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย (Underwriter) แทนบริษัทผู้ออกหุ้นกู้


ถัดมาเรียกว่า ตลาดรอง โดยหลังจากซื้อหุ้นกู้ในตลาดแรกแล้วและต้องการขายก่อนครบกำหนดอายุ นักลงทุนที่ซื้อหุ้นกู้ในตลาดแรกก็สามารถนำมาขายในตลาดรองได้ และหากนักลงทุนคนอื่นๆ สนใจซื้อก็ต้องติดต่อผ่านธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจค้าหลักทรัพย์ (Dealer) จากสำนักงาน ก.ล.ต.


ปัจจุบันหุ้นกู้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนในอัตราสูงกว่าเงินฝากธนาคาร และเมื่อซื้อแล้วก็สามารถขาย (เปลี่ยนมือ) ได้ทุกวันทำการ รวมทั้งเลือกได้ตามความต้องการเพราะมีหุ้นกู้หลายรุ่น เช่น หุ้นกู้อายุ 3 ปี, อายุ 5 ปี, อายุ 10 ปี เป็นต้น ที่สำคัญหุ้นกู้มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ หุ้นและกองทุนรวมหุ้น ดังนั้น จึงเป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ต้องการผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและรับความเสี่ยงได้ในระดับตทีไม่สูงนัก


อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ที่เสนอขายในตลาดส่วนใหญ่มักกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำในระดับค่อนข้างสูง เช่น 5 หมื่นบาท, 1 แสนบาท, 1 ล้านบาท หรือมากกว่านั้นในกรณีการขายให้นักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบัน


จึงมีคำถามว่า ผู้ที่มีเงินลงทุนแต่ละเดือนไม่มาก เช่น 1,000 บาท แต่ต้องการซื้อหุ้นกู้ จะทำอย่างไร คำตอบคือ สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 

ข้อดีของการลงทุนหุ้นกู้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ คือ ซื้อขายได้ทุกวันทำการหรือจะถือไว้เพื่อลงทุนระยะยาวก็ได้  ใช้เงินลงทุนไม่มากจึงสะดวกต่อการบริหารเงิน ขณะเดียวกันแต่ละกองทุนจะลงทุนหุ้นกู้หลายรุ่น ทำให้เกิดการกระจายความเสี่ยงที่ดี


อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมตราสารหนี้จะไม่มีนโยบายลงทุนหุ้นกู้ทุกกองทุน (บางกองทุนลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล) ดังนั้น ต้องพิจารณาก่อนว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ใดที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกู้ โดยเข้าไปดูข้อมูลในหนังสือชี้ชวนแต่ละกองทุน ซึ่งหลักๆ แล้วกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นกู้ ได้แก่


1.กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง – ระยะยาว
มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ บางกองจะลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย เช่น เงินฝาก ดังนั้น ก่อนตัดสินใจต้องดูว่ากองทุนนั้นมีสัดส่วนลงทุนเป็นอย่างไร เช่น หุ้นกู้ 60% พันธบัตรรัฐบาล 30% และเงินฝาก 10% หรือบางกองอาจลงทุนหุ้นกู้เกือบ 100% ซึ่งการดูสัดส่วนดังกล่าวเพื่อให้ทราบว่าตัวเองต้องการลงทุนหุ้นกู้มากน้อยแค่ไหน


2.กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ
มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ นอกจากจะดูสัดส่วนการลงทุนแล้ว ต้องดูว่าไปลงทุนตราสารหนี้ในประเทศใดบ้าง และรูปแบบการลงทุนเป็นลักษณะที่นำเงินไปลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ในต่างประเทศเพียงกองเดียว (Feeder Fund) หรือไปลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ในต่างประเทศหลายๆ กอง (Fund of Fund) ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นการไปลงทุนต่างประเทศ

 

ดังนั้นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรับ ก็คือ  ความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งบางกองทุนจะทำการป้องกันความเสี่ยงให้ 100% ในขณะที่บางกองทุนไม่มี นอกจากนี้ต้องรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ภายในประเทศที่กองทุนรวมไปลงทุน ดังนั้นต้องทำการศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้ละเอียด เช่น นโยบายลงทุน รายละเอียดของกองทุนรวมตราสารหนี้ในต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นต้น

3.กองทุนรวมผสม มีนโยบายลงทุนผสมทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น เงินฝาก ทองคำ ดังนั้นอาจไม่ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการเน้นลงทุนหุ้นกู้ แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นสูง


ถึงแม้ว่าการลงทุนหุ้นกู้ผ่านกองทุนรวมจะมีประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้เงินลงทุนน้อย กระจายความเสี่ยงได้ดี สะดวก รวมถึงมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลเงินลงทุนและติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพราะสิ่งสำคัญของการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ คือ ความเสี่ยงและนโยบายการลงทุน เนื่องจากตราสารหนี้จะมีความสัมพันธ์กับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากเลือกจังหวะการลงทุนถูกต้องแม่นยำ จะทำให้ประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้อย่างมั่นคง