ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
7 ข้อควรรู้ก่อนเซ็นค้ำประกัน
หลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ที่มีเพื่อน หรือญาติมาขอให้ช่วยเซ็นค้ำประกัน เพื่อขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่าง ๆ และเราอาจเคยได้ยินประสบการณ์การเซ็นค้ำประกันให้คนที่ไว้ใจแล้วสุดท้ายก่อภาระหนี้ให้ผู้เซ็นค้ำประกันมากมาย เนื่องจากลูกหนี้ตัวจริงไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ เจ้าหนี้จึงหันมาทวงหนี้กับผู้เซ็นค้ำประกันแทน ซึ่งส่งผลให้เราต้องมารับภาระหนี้ที่ไม่ได้ก่อ เพราะความไว้ใจ ดังนั้น ก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร จึงควรเข้าใจสัญญาให้ชัดเจน และรู้ถึงสิทธิต่าง ๆ ในฐานะผู้ค้ำประกัน เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมด้วย
1. การค้ำประกันต้องมีขอบเขตชัดเจน
ก่อนการเซ็นค้ำประกัน อย่าลืมอ่านสัญญาให้ชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องการกำหนดวงเงินความรับผิดแทนลูกหนี้ตัวจริง ตามกฎหมายต้องระบุให้ชัดเจนว่า เราจะต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนเงินที่เท่าไหร่ และจำกัดความรับผิดชอบตามที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น
2. สัญญาที่ระบุให้เป็นลูกหนี้ร่วมถือเป็นโมฆะ
สัญญาที่ระบุไว้ว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนนั้นร่วมกับลูกหนี้จะไม่มีผลบังคับใช้ หากเกิดเหตุลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ เจ้าหนี้ต้องไปตามหนี้กับลูกหนี้ตัวจริงก่อนมาเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชดใช้หนี้แทน ถ้าหากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายได้แล้วจริง ๆ จึงมีสิทธิมาตามหนี้กับผู้ค้ำประกันต่อไป
3. สัญญาที่เป็นภาระเกินสมควรถือเป็นโมฆะ
สำหรับสัญญาที่ระบุให้ผู้ค้ำประกันต้องรับภาระหนี้เกินไปจากขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และทำให้ผู้ค้ำประกันเสียเปรียบ ไม่เป็นธรรม จะไม่สามารถนำมาเรียกร้องกับผู้ค้ำประกันได้
4. ผู้ค้ำไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเจ้าหนี้ไม่แจ้งให้ทราบภายใน 60 วัน
ถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องทำหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันรู้ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เพราะหากผู้ค้ำประกันต้องจ่ายหนี้แทน จะได้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยกรณีผิดนัด และหากเกินระยะเวลา 60 วันแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากเจ้าหนี้ กรณีมีดอกเบี้ย ค่าทวงถาม ผู้ค้ำประกันจะไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนนี้
5. ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับลูกหนี้มีผลต่อผู้ค้ำด้วย
สำหรับข้อตกลงที่เจ้าหนี้กำหนดขึ้น เช่นการลดหนี้ให้ลูกหนี้ เพื่อให้สามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลทางบวกกับลูกหนี้ สิทธินี้จะส่งต่อไปที่ผู้ค้ำประกันด้วย เท่ากับความรับผิดชอบหนี้ของผู้ค้ำประกันก็จะลดลงด้วย ยกเว้นข้อตกลงหรือการกระทำใด ๆ ของเจ้าหนี้ที่ส่งผลลบกับลูกหนี้จะถือเป็นโมฆะกับผู้ค้ำประกัน เรียกว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชอบผลเสียที่เกิดกับลูกหนี้ไปด้วย
6. ผู้ค้ำหมดความรับผิดชอบ หากเจ้าหนี้ขยายเวลาผ่อนชำระ
ถ้าเจ้าหนี้ขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ ผู้ค้ำประกันถือว่าหมดภาระความรับผิดชอบต่อหนี้นั้นในฐานะผู้ค้ำประกัน และห้ามทำข้อตกลงล่วงหน้าให้ผู้ค้ำประกันยังคงสถานะเป็นผู้ค้ำประกันต่อไป หลังขยายเวลาชำระหนี้
7. หากจ่ายหนี้แทนแล้ว มีสิทธิเรียกร้องเงินคืนจากลูกหนี้ตัวจริง
กรณีชดใช้หนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันให้เจ้าหนี้แล้ว เรามีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินคืนจากลูกหนี้ได้ โดยสามารถเรียกคืนทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าเสียหาย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ได้จ่ายทดแทนไปในฐานะผู้ค้ำประกัน
สำหรับการตัดสินใจเซ็นค้ำประกันให้ใครนั้น เราต้องพิจารณาให้ดีว่า ภาระหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการเซ็นค้ำประกันนั้น จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน และสำหรับใครที่มองหาวงเงินสินเชื่อ แต่ยังไม่มีผู้ค้ำ สินเชื่อ UP ช่วยได้ สนใจสมัครได้ที่ SCB EASY App หรือธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา