ข้อดี ข้อเสีย ของการรวมหนี้

หากคุณกำลังรู้สึกว่าเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ชักหน้าไม่ถึงหลัง จ่ายหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำก็แล้ว กดบัตรโน้นไปโปะบัตรนี้ก็แล้ว แต่สถานการณ์ทางการเงินของคุณก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย การรวมหนี้อาจเป็นทางออกของคุณก็เป็นได้ แล้วการรวมหนี้คืออะไร สามารถติดตามได้ในบทความนี้


การรวมหนี้ คือ การที่เรานำหนี้ที่เรามีอยู่จากหลายๆ ที่ทั้งในและนอกระบบ หรือจากบัตรเครดิตหลายๆ ใบ เอามารวมไว้ที่เดียวกัน เพื่อขออนุมัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินในระบบ มาปิดหนี้ดอกแพงทั้งหมดนี้ทันที แล้วมาเลือกผ่อนเป็นรายงวดคืนให้กับธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจในการปิดหนี้ทั้งหมด ให้มีการชำระหนี้เพียงที่เดียว การรวมหนี้ที่เป็นประโยชน์ คือ หนี้เดิมที่เรามีอยู่นั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่แพงมาก เช่น หนี้นอกระบบ เมื่อทำการรวมหนี้ เราจะได้อัตราดอกเบี้ยในระบบ ที่มีอัตราที่ถูกลง


อย่างไรก็ตาม ในการรวมหนี้นั้น ต้องเข้าเงื่อนไขของการให้สินเชื่อส่วนบุคคลของสถาบันการเงิน โดยเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์จากธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้สถาบันการเงินสามารถให้วงเงินสินเชื่อบุคคลสูงสุดได้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้กู้จะสามารถกู้ได้เต็มวงเงินทุกราย สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขการพิจารณาที่แตกต่างกัน แต่โดยมากจะดูจากประวัติการเงินที่ผ่านมา เช่น ประวัติการผ่อนชำระที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เคยค้างชำระหรือไม่ มีสินเชื่ออะไรบ้างและวงเงินสูงสุดที่ได้เป็นเท่าไหร่ ซึ่งผู้ที่มีประวัติการชำระเงินที่ดี ชำระตรงเวลา มีโอกาสสูงที่จะได้รับพิจารณาจากสถาบันการเงิน


เมื่อเรารู้แล้วว่าการรวมหนี้คืออะไร เรามาลองเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียจากการรวมหนี้กัน

ข้อดีของการรวมหนี้

  • หนี้ทั้งหมดที่เรามีจากหลายๆ ที่ ก็จะถูกนำมารวมเป็นหนี้ก้อนเดียวกัน และดอกเบี้ยก็จะถูกคิดที่หนี้ก้อนที่รวมแล้วเพียงที่เดียว คุณก็จะเหลือภาระจ่ายหนี้ที่สถาบันการเงินเพียงแห่งเดียว ทำให้ไม่วุ่นวาย สับสนว่าควรจะจ่ายหนี้ก้อนไหนก่อนดี และจ่ายเท่าไหร่ดี

  • ทำให้เราไม่ต้องปวดหัวกับการโดนโทรทวงถามจากหลายๆ เจ้าหนี้

  • มีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง โดยมากในช่วงแรกของการผ่อน สถาบันการเงินมักให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิต แต่ในช่วงท้ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อรวมหนี้ อาจสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตได้ หากคุณมีหนี้ทั้งหนี้นอกระบบและหนี้บัตรเครดิต คุณจะมีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง เพราะโดยมากอัตราดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบจะแพงกว่าอัตราดอกเบี้ยในระบบมาก อย่างไรก็ตามหากมีแต่หนี้บัตรเครดิตเพียงอย่างเดียว คุณต้องพิจารณาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ได้รับ เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย

  • จํานวนเงินที่ต้องผ่อนชําระต่อเดือนจะต่ำลง ทำให้ภาระรายจ่ายต่อเดือนลดลง ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตัวคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. มีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท มีหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 4 ใบ จำนวน 20,000 บาท 30,000 บาท 40,000 บาท และ 50,000 บาทตามลำดับ รวมยอดหนี้ทั้งสิ้น 140,000 บาท หากนาย ก. จ่ายหนี้บัตรเครดิตที่ขั้นต่ำ 10% คิดเป็นจำนวนเงินที่ต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิตต่อเดือนทั้งสิ้น 14,000 บาท ทำให้นาย ก. เริ่มจ่ายไม่ไหว นอกจากนี้การจ่ายที่ขั้นต่ำก็ไม่สามารถทำให้นาย ก. ปลดหนี้บัตรเครดิตทั้ง 4 ใบลงได้ หากนาย ก. ต้องการรวมหนี้โดยขอวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวน 140,000 บาท จะทำให้นาย ก.ต้องผ่อนชำระยอดหนี้เดือนละ 6,806 บาทเท่านั้น (คำนวณจากเงินต้น 140,000 บาท สมมติอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 25% ต่อปี ระยะเวลาการผ่อน 3 ปี) จะเห็นได้ว่าสามารถลดอัตราการผ่อนชำระหนี้ลงได้ถึง 7,194 บาทต่อเดือน ทำให้นาย ก. มีสภาพคล่องเหลือเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปวางแผนการเงินด้านอื่นๆ ต่อไปได้

  • นอกจากนี้การรวมหนี้จะทำให้เรารู้ระยะเวลาการผ่อนหนี้ที่แน่นอน เช่น 3 ปี 5 ปี (ตามข้อตกลงของแต่ละสถาบันทางการเงิน) ทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสปลดหนี้ได้ง่ายกว่า เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้น หากคุณสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้แค่เพียงขั้นต่ำ 10% คุณจะไม่สามารถปลดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดได้เลย เพราะคุณจะถูกคิดดอกเบี้ย ค่าทวงถามและค่าปรับต่างๆ จากบัตรเครดิตอยู่ตลอดเวลา จนทำให้คุณรู้สึกว่าทำไมผ่อนไปเท่าไหร่ มูลหนี้บัตรเครดิตของคุณถึงไม่ลดลงสักที

ข้อเสียของการรวมหนี้

  • อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคลส่วนมากจะสูงกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิต จากเดิมที่เคยเสียเฉลี่ยที่ 20% ต่อปี อาจต้องเสียเฉลี่ยเพิ่มเป็น 25% ต่อปี (ควรพิจารณาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเพื่อประกอบการตัดสินใจ)

  • เมื่อคุณต้องการรวมหนี้มาจากบัตรเครดิต ยอดหนี้ของคุณจะรวมทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าปรับต่างๆ  และเงินก้อนนี้ก็จะเป็นยอดหนี้ใหม่ที่คุณต้องมาเสียดอกเบี้ยซ้ำอีกที เท่ากับว่าคุณต้องจ่ายดอกเบี้ย 2 ต่อ


กล่าวโดยสรุป การรวมหนี้นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากคุณกำลังประสบปัญหาหนี้สินที่เริ่มมากขึ้นและใช้จ่ายไม่คล่องมือ ลองพิจารณาทางเลือกของการรวมหนี้ โดยการเปรียบเทียบว่ามีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากัน และหาทางเลือกที่เหมาะสมกับตัวคุณเองให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามวิธีที่จะจัดการกับหนี้ได้ดีที่สุดก็คือ การมีวินัยทางการเงินที่ดี  อย่าใช้จ่ายเกินตัว อย่าก่อหนี้เพิ่ม และต้องมีความอดทนในการชำระหนี้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา หากคุณไม่ละทิ้งซึ่งความพยายามแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถปลดหนี้ และสร้างฐานะการเงินที่ดีขึ้นใหม่ได้อย่างแน่นอน


บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®  นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร