“ถ้ามีประกันไว้ก็คงดี” ประโยคยอดฮิตในวันที่ไม่มีตัวช่วยบรรเทาความเสี่ยงในชีวิต

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่เกิดขึ้น หลายต่อหลายคนที่ติดเชื้อต้องเข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ กว่าจะรักษาจนหาย หมดเงินกันไปหลักแสนหลักล้านเลยทีเดียว ทำให้เราต้องหันกลับมาดูว่า หากวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายขึ้นมา เงินเก็บที่มีอยู่จะเพียงพอกับค่ารักษาที่เกิดขึ้นหรือไม่ แล้วประกันสุขภาพที่มีอยู่เพียงพอแล้วหรือยัง แม้บางคนจะบอกว่าเราเน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว จะมีประกันสุขภาพไปทำไม จ่ายเงินทิ้งเปล่าให้บริษัทประกัน


ไม่ว่าเราจะดูแลสุขภาพดีสักเพียงใด บางครั้งโรคร้ายต่างๆ อาจจะแฝงตัวมาอยู่ในร่างกายเราตอนไหนก็ไม่ทราบได้ และมันรอวันที่จะเปิดเผยตัวออกมา เมื่อถึงวันนั้นคุณอาจจะต้องพูดว่า “ ถ้ามีประกันไว้ก็คงดี

if-its-insured-its-good-01

บทเรียนจากคนใกล้ตัว


ประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่มีคนใกล้ตัว เขาคนนี้อายุ 20 กว่าๆ เป็นคนทำงานที่ดูแลสุขภาพอย่างดี เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ แม้แต่เวลามาทำงานเขาก็ยังใช้วิธีขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เพื่อจะได้ออกกำลังกายไปด้วย แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างที่อาบน้ำอยู่เขาก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอก เหมือนมีก้อนกลมๆ อยู่ด้านใน จึงได้ไปพบคุณหมอ เมื่อตรวจแล้วพบว่าเขามีก้อนเนื้อที่เต้านม และก้อนเนื้อนั้นก็เป็นก้อนเนื้อร้ายด้วย ซึ่งโชคยังดีที่เขาเป็นในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำให้รีบรักษา หากรักษาเร็วก็มีโอกาสที่จะหายได้ โดยทั่วไปค่ารักษาโรคมะเร็งมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ตั้งแต่หลักแสนถึงหลักหลายล้านบาท และมีระยะเวลารักษาที่ยาวนานหลักหลายเดือนถึงหลักปี ภายหลังการรักษาก็ต้องรออีกระยะหนึ่งให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ


ด้วยค่ารักษาที่สูงขนาดนี้ แน่นอนว่าเงินเก็บที่มีคงจะต้องลดน้อยลงหรือหมดไป สำหรับกรณีผู้ป่วยข้างต้นนี้ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่เขาได้ทำประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงที่มีความคุ้มครองสูงถึง 1 ล้านบาท จำนวน 2 ฉบับ เขาจึงสามารถนำผลการรักษาไปยื่นขอสินไหมทดแทนในกรมธรรม์ดังกล่าว เพื่อนำมารักษาตัวได้โดยไม่เดือดร้อนเงินเก็บที่มี และยังมีเหลือเงินบางส่วนไว้ดูแลตัวเองภายหลังการรักษาอีกด้วย ปัจจุบันเขาได้รักษาตัวจนหายดีแล้ว และยังมีเงินเก็บไว้ทำตามความฝันได้ต่อไป


แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีแล้วก็ตาม แต่จะดีกว่าไหม หากคุณจะสร้างความอุ่นใจในชีวิตให้กับตัวเองด้วยประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงต่างๆ อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดในสมอง ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบมากมาย ได้แก่

  1. ตรวจพบ ตรวจเจอ รับเงินก้อน : รับเงินก้อนเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตามที่กำหนด ซึ่งสามารถนำเงินก้อนนั้นไปรักษาประเภทใดก็ได้
  2. คุ้มครองส่วนของค่ารักษาพยาบาล : จะให้ความคุ้มครองเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาล ซึ่งจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท
  3. ประกันแบบเหมาจ่าย : มีค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น แต่ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่าจากประกันสุขภาพเหมาจ่าย

ประกันที่คุ้มครองส่วนของค่ารักษาพยาบาลหรือประกันแบบเหมาจ่าย อาจมีข้อกำหนดเกี่ยวกับวงเงินในการรักษาในรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียด เงื่อนไข ผลประโยชน์ ความคุ้มครอง ตามกรมธรรม์ ในการเลือกซื้อประกันประเภทต่างๆ เนื่องจากอาจยังมีค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ที่ไม่ครอบคลุมได้


นอกจากนี้ในการพิจารณาเลือกซื้อประกันจำเป็นจะต้องคำนึงถึง ‘ระยะเวลารอคอย (Waiting Period)’ ด้วย หมายถึงช่วงระยะเวลาที่ประกันยังไม่คุ้มครอง โดยเริ่มจากวันที่ได้รับอนุมัติกรมธรรม์ หากเจ็บป่วยหรือต้องรับการรักษาในช่วงระยะเวลารอคอย จะเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ สำหรับประกันโรคร้ายแรงที่คนไทยนิยมซื้อควบคู่กับประกันสุขภาพนั้นมีระยะรอคอยประมาณ 90 วัน แต่อาจจะมากกว่านี้ก็ได้ขึ้นอยู่กับโรคและข้อกำหนดเงื่อนไขกรมธรรม์


ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ Social Distancing ยังคงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ หลายๆ คนที่พยายามลดการเดินทางออกนอกบ้านก็ยังสามารถซื้อประกันได้ การซื้อประกันผ่านช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางที่มีความสะดวกสบาย ซื้อได้ทุกที่ทุกเวลา ทำรายการได้ด้วยตัวเอง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปพบปะบุคคลอื่นๆ การชำระเบี้ยก็สามารถทำผ่านแอปพลิเคชันได้เลย หลีกเลี่ยงการสัมผัสจับต้องเงินสด ช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะติดโรคได้


บทความโดย คุณณาตยา สุขุม EVP, ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน ผลิตภัณฑ์ประกัน สายงาน Bancassurance กลุ่มธุรกิจประกัน


ข้อมูล ณ  วันที่  21 กันยายน 2564


ที่มา : The Standard  Wealth