(I can't get no) Satisfaction : ความพอใจในโลกทุน (ก็ได้!)

เรื่อง: เผ่าจ้าว กำลังใจดี


Hi-Lights:

  • สิ่งที่ทำให้ “(I Can’t Get No) Satisfaction” ประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ท่วงทำนองและสปิริตในความเป็นร็อคแอนด์โรลของริชาร์ดส หากแต่มันยังรวมถึงเนื้อร้องประชดประชันของแจคเกอร์ที่เสียดสีโลกทุนนิยมสมัยใหม่ได้อย่างถึงพริกถึงขิง


​ในช่วงทศวรรษที่ 60-70’s โลกดนตรีถูกยึดครองด้วยวงดนตรีร็อคจากอังกฤษสองกลุ่ม หนึ่งในนั้นย่อมเป็น The Beatles อย่างไม่ต้องสงสัย อีกหนึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก The Rolling Stones วงดนตรีร็อคจากลอนดอนที่ประสบความสำเร็จเคียงข้างและคู่คี่กับวงสี่เต่าทองจนทำให้เกิดปรากฏการณ์ในวงการเพลงที่เรียกว่า ‘British invasion’ (ครั้งที่ 1 ก่อนจะมีครั้งที่ 2 ในอีกสามทศวรรษถัดมาด้วยวงอย่าง Oasis และ Blur)


มองจากระยะไกล สี่เต่าทองอาจถือครองโลกดนตรีใบนี้แบบผูกขาดไว้แต่เพียงผู้เดียว จอห์น เลนนอน และชาวคณะทำให้คนทั้งโลกร้องเพลงของพวกเขาเพลงแล้วเพลงเล่า แต่หากพิจารณากันอย่างถ่องแท้ เสียงเพลงที่เกิดจากวงหินกลิ้งนี้ก็ครองใจผู้คนได้ไม่แพ้กัน ต่างตรงที่ว่า เดอะ สโตนส์ อาจมีเพลงฮิตน้อยกว่า เดอะ บีทเทิ่ลส์


​แต่จำนวนไม่ใช่ดัชนี้ชี้วัดคุณภาพและความสำเร็จ ในจำนวนเพลงฮิตน้อยกว่าของ เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ พวกเขาก็ยังมีเพลงมหัศจรรย์เพลงหนึ่งและดูเหมือนเพลงนี้เพลงเดียวก็น่าจะเพียงพอสำหรับการสร้างปาฏิหาริย์ เพลงนั้นคือ “(I Can’t Get No) Satisfaction”


“(I Can’t Get No) Satisfaction” บรรจุอยู่ในอัลบั้ม “Out Of Our Head” ในปี 1965 ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สามในอังกฤษและสี่ในอเมริกา ก่อนหน้านี้ เดอะ สโตนส์ สร้างชื่อในอังกฤษและอเมริกามาพอสมควร แต่พลันที่ซิงเกิ้ล “(I Can’t Get No) Satisfaction” ออกวางจำหน่าย สถานะของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพราะนี่คือเพลงฮิตที่สร้างปรากฏการณ์ความบ้าคลั่งในวงหินกลิ้งอย่างแท้จริง ​


คีธ ริชาร์ดส์ (Keith Richards) มือกีตาร์ของวงเป็นผู้แต่งทำนองเพลงนี้ คืนหนึ่งขณะที่เขาหลับอยู่ในห้องพักของโรงแรมในฟลอริดา หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมากับการตระเวนเล่นคอนเสิร์ต จู่ๆ เขาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับริฟฟ์กีตาร์ที่ปรากฏขึ้นในความฝันพร้อมกับเนื้อร้องเฉพาะท่อนที่ว่า “Can’t Get No Satisfaction” ริชาร์ดส์ รีบอัดเสียงกีตาร์ท่อนดังกล่าวในเครื่องบันทึกเสียงกลางดึกคืนนั้นทันที

satisfaction01

หลังจากนั้น คีธ ริชาร์ดส์ ก็นำเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์นี้มาให้ มิก แจคเกอร์ (Mick Jagger) ฟรอนต์แมนของวงฟังเพื่อเขียนเนื้อร้องในส่วนที่เหลือ แจคเกอร์ ใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเพลงที่มีแต่ท่อน “Can’t Get No Satisfaction” ให้กลายเป็นเพลงที่วิพากษ์วิจารณ์การโฆษณาสินค้าอย่างบ้าคลั่งในอเมริกาที่พวกเขาประสบพบเจอมาตลอดการทัวร์อเมริกา ด้วยการใช้ชั้นเชิงในการเขียนเนื้อร้องเชิงประชดประชัน เพราะประโยค “I Can’t Get No Satisfaction” นั้นผิดหลักไวยากรณ์ เพราะมันมีคำขัดแย้งในตัวเอง ‘can’t get’ และ ‘no’ ดังนั้น “(I Can’t Get No) Satisfaction” จึงมีความหมายที่ไม่ต่างไปจาก “I can satisfaction” แน่นอน...แจคเกอร์ ไม่ลืมใส่นัยยะเรื่องเพศอันเป็นเอกลักษณ์ของวงลงไปในเพลงนั้นด้วย


​แจคเกอร์ กล่าวถึงเพลงนี้ว่า “ตอนแรกที่เราแต่งเพลงนี้ มันฟังเหมือนเพลงโฟล์กและคีธก็ไม่ค่อยชอบนัก เขาไม่อยากให้มันเป็นซิงเกิ้ล เขาไม่เชื่อว่ามันจะเวิร์ก ผมว่าคีธยังฟังมันไม่ละเอียดพอ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่ใกล้มันเกินไป และไม่รู้สึกว่าริฟฟ์กีตาร์ของเขามันเยี่ยมแค่ไหน”


​แจคเกอร์พูดถูก ริชาร์ดส์ไม่ได้ปลาบปลื้มกับริฟฟ์กีตาร์มหัศจรรย์นี้มากนัก เพราะเขารู้สึกว่ามันคล้ายกับเพลง "Dancing in the Street" ของ Martha and the Vandellas มากเกินไป


​ริชาร์ดส, แจคเกอร์ และเพื่อนร่วมวงบันทึกเสียงเพลงนี้ครั้งแรกในชิคาโก ก่อนจะกลับมาบันทึกเสียงอีกครั้งในฮอลลีวูดอีกสองวันถัดมา


​เมื่อออกวางจำหน่าย  “(I Can’t Get No) Satisfaction” ก็อยู่ในชาร์ตบิลบอร์ด ฮอต 100 นานถึง 14 สัปดาห์ ขึ้นอันดับ 1 สี่สัปดาห์ติดต่อกัน ตัวซิงเกิ้ลได้รับแผ่นเสียงทองคำด้วยยอดขายกว่าห้าแสนก๊อปปี้ในอเมริกา และมันก็เป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกที่พวกเขาได้รับในอเมริกาอีกด้วย มากไปกว่านั้นมันยังข้ามทวีปไปเป็นเพลงฮิตอันดับหนึ่งของยุโรป ไม่เว้นแม้แต่ประเทศอังกฤษบ้านเกิด และหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นเพลงที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง


​“(I Can’t Get No) Satisfaction” ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง “Apocalypse Now” ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ในปี 1979 นอกจากนี้มันยังติดอันดับการจัดอันดับเพลงตลอดกาลหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งในร้อยเพลงเขย่าโลกของนิตยสาร Vox, หนึ่งในร้อยเพลงร็อคยอดเยี่ยมของช่อง VH1, เพลงอันดับหนึ่งใน 500 เพลงยอดเยี่ยมของนิตยสาร โรลลิ่ง สโตน, ติดอันดับเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาลของนิตยสาร Q และอีกมาก


​ศิลปินรุ่นหลังมากมายที่นำ “(I Can’t Get No) Satisfaction” มาทำใหม่ หนึ่งในนั้นมีศิลปินอย่าง Devo วงซินธิ์-อาวอง การ์ด ยุค 80, โอติส เรดดิ้ง, ไดอานา รอส ไม่เว้นแม้แต่ บริทนี่ย์ สเปียรส์


​สิ่งที่ทำให้ “(I Can’t Get No) Satisfaction” ประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ท่วงทำนองและสปิริตในความเป็นร็อคแอนด์โรลของริชาร์ดส หากแต่มันยังรวมถึงเนื้อร้องประชดประชันของแจคเกอร์ที่เสียดสีโลกทุนนิยมสมัยใหม่ได้อย่างถึงพริกถึงขิง


​แม้ในความเป็นจริง “(I Can’t Get No) Satisfaction” ก็มีสถานะเป็นสินค้าอีกตัวหนึ่งในโลกบริโภคนิยมที่ทุนย่อมแสวงหาทุกหนทางในการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาชวนเชื่อผลิตผลของตนเพื่อรักษาแนวทางแห่งการคงความเป็นทุนนั้นไว้ เดอะ สโตนส์ ก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงข้อนี้

แต่ก็อย่างที่แจคเกอร์แหกปากกว้างๆ ของเขาร้องไว้นั่นแหละ

​ว่าไหนๆ เราก็คงไม่อาจไม่พอใจหรือหลีกเลี่ยงโลกทุนนี้ ดังนั้นพอใจก็ได้ (!!)

เนื้อเพลง “(I Can’t Get No) Satisfaction”

satisfaction, satisfaction.

'Cause I try and I try and I try and I try.

I can't get no, I can't get no.

When I'm drivin' in my car and a man comes on the radio

he's tellin' me more and more about some useless information

supposed to fire my imagination.

I can't get no, oh no no no.

Hey hey hey, that's what I say.

I can't get no satisfaction, I can't get no satisfaction.

'Cause I try and I try and I try and I try.

I can't get no, I can't get no.

When I'm watchin' my TV and a man comes on to tell me how white my shirts can be.

Well he can't be a man 'cause he doesn't smoke the same cigarrettes as me.

I can't get no, oh no no no.

Hey hey hey, that's what I say.

I can't get no satisfaction, I can't get no girly action.

'Cause I try and I try and I try and I try.

I can't get no, I can't get no.

When I'm ridin' round the world and I'm doin' this and I'm signing that

and I'm tryin' to make some girl who tells me baby better come back later next week

'cause you see I'm on losing streak.

I can't get no, oh no no no.

Hey hey hey, that's what I say.

I can't get no, I can't get no, I can't get no satisfaction,

no satisfaction, no satisfaction, no satisfaction.

ฟังเพลง “(I Can’t Get No) Satisfaction”

https://www.youtube.com/watch?v=nrIPxlFzDi0