ปูพื้นฐานลูกในวันนี้ ไม่มีเตะฝุ่นในอนาคต

เป็นพ่อแม่ยุคดิจิทัลต้องแข็งแกร่งคูณสิบ ไหนจะคอยพัฒนาทักษะการทำงานของตัวเองแล้ว ยังอดห่วงไม่ได้ถึงอนาคตที่มั่นคงของลูก ที่ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้งานที่ดีเลี้ยงชีพตัวเองได้ พ่อแม่จึงต้องสวมบทโค้ชชีวิตให้ลูก สรรหาสารพัดวิธีสร้างพื้นฐานวิชาเฉพาะทาง (Hard Skill) แบบแน่นปึ้กชนิดที่เรียนจบปุ๊บงานอ้าแขนรับปั๊บ แถมวางกลยุทธ์ปลูกฝังทักษะชีวิต (Soft Skill) ให้อยู่รอดแบบสวยงามในสังคมได้อีกด้วย

raise-kid-future-01

Soft Skill


1. “เริ่มต้นใช้หัวใจฟังลูก” ท่องให้แม่นกว่าสูตรคูณว่า โลกของลูกที่อาจจะจับมือถือในเวลาไล่เลี่ยกับกล่องนมกับโลกในวัยเด็กของพ่อมันนั้นต่างบริบทกัน อย่าเผลอเอาภาพจำของตัวเองไปวาดทับบนผ้าขาวของลูก ยุคนี้ “การฟัง” คือหัวใจสำคัญ อย่าให้เขารู้สึกว่า ปรึกษาพ่อแม่ไม่ได้จนต้องหันไปพึ่งพิงโค้ชคนอื่นๆ และเมื่อฟังแล้วต้องจริงจังเรื่องพยายามทำความเข้าใจด้วย


2. “เลี้ยงลูกแบบเชิงบวก” ยุคดิจิทัลเหยียบคันเร่งให้ทุกอย่างเร็วหวือ จนไม่รู้จักความอดทนรอคอย พ่อแม่ควรฝึกลูกให้เข้าใจและจัดการกับอารมณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะ โกรธ เศร้า ดีใจ ไม่พอใจ ควรแสดงออกอย่างไรให้ชาญฉลาดและไม่เกินงาม การเลี้ยงเชิงบวกถือเป็นเรื่องท้าทายของผู้ปกครอง ที่มักจัดการอารมณ์ลูกด้วยการออกคำสั่ง หรือใช้คำพูดติดลบเพื่อหวังให้เข็ดหลาบ แต่หากลองเปลี่ยนวิธี หันมาสอนด้วยความใจเย็น ทำให้เคยชินกับการจัดการอารมณ์ เมื่อโตขึ้นจะเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักที่ใครๆ ก็อยากร่วมงานด้วยแน่นอน

3. “เลี้ยงเหมือนเพื่อนเฮไหนเฮนั่น” เด็กยุคดิจิทัลมักเปิดรับและชอบทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ลองแลกกิจกรรมเพื่อเรียนรู้โลกของกันและกัน เช่น แม่ชวนลูกทำกับข้าว พ่อชวนลูกดูฟุตบอล ลูกก็ชวนพ่อแม่ถ้าไม่ไปแฟนมีตติ้งไอดอลนักร้องด้วยกัน หรือลองฟังความชอบของเขา นั่งแลกเปลี่ยนไอเดียโครงงานที่ต้องประดิษฐ์ไปส่งครู นอกจากลูกจะมองเราเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือแล้ว ยังถือเป็นการฝึกเขาให้เอาใจใส่คนรอบข้าง และพร้อมรับฟังและเรียนรู้จากคนวัยต่างด้วย


4. “คิดบวกและวิเคราะห์เป็น” สองทักษะที่สร้างภูมิคุ้มกันชั้นดีเมื่อลูกโตขึ้น เพราะการแข่งขันทวีคูณและพ่วงมาด้วยความกดดันเพิ่มขึ้นทุกวัน พ่อแม่จึงต้องเป็นกองหนุนที่ดี ฝึกให้เขามีทัศนคติแบบยืดหยุ่น (Growth Mindset) คือ รู้จักอึดต่อแรงกดดัน รู้จักฮึดสร้างกำลังใจให้ตัวเอง และพร้อมชนอุปสรรคที่เข้ามา โดยไม่กลัวล้ม หรือล้มก็ต้องลุกเร็ว ด้วยการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล (Critical Thinking) เช่น การแยกแยะวิเคราะห์ข่าวที่เชื่อถือบนโลกออนไลน์

Hard Skill


1. “AI ต้องมา ความพร้อมต้องมี” โลกในอนาคตหลายสิ่งหลายอย่างจะถูกปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาทำงานแทน การปูพื้นฐานทางวิชาเฉพาะทางหรือ Hard Skill ให้ทันกับเรื่องนี้จึงจำเป็น เช่น ต้องฉายความเป็นจริงที่ว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาทำอาชีพได้อย่างไรบ้าง ดังนั้น หากลูกอยากเดินตามความฝันในอาชีพที่เลือก ควรมีปัจจัยเรื่อง AI เข้าไปเป็นส่วนประกอบการตัดสินใจในทุกเส้นทางที่จะเลือกเดิน


2. “มองให้กว้างบนโลกไร้พรมแดน” ควรให้ลูกคุ้นชินกับการเปิดโลกที่กว้างกว่าประเทศไทย การเรียนรู้ภาษาที่หลากหลาย การรับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันล้วนเป็นส่ิงสำคัญ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า วันหนึ่งโลกเทคโนโลยีจะนำพาให้เขาไปปฏิสัมพันธ์ร่วมงานกับใครในอีกมุมโลก ลองกระตุ้นให้เขาสนุกกับการหาประสบการณ์ในที่อื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดเรื่องความคับแคบในทัศนคติ และกลายเป็นสร้างโอกาสในการทำงานของเขาได้มากกว่าคนอื่นๆ


เชื่อเถอะว่า หากพ่อแม่ช่วยเป็นกองหนุนที่ดีให้ลูกได้เรียนรู้ระหว่าง Hard Skill และ Soft Skill ควบคู่กันไป สร้างโอกาสการงานในอนาคตให้ลูกได้จริงแท้และแน่นอน