สัญญาณเตือนภัย! โรคอัลไซเมอร์

อัลไซเมอร์ หนึ่งในโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานโครงสร้างเนื้อเยื่อในสมอง ความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง เซลล์ในสมองตายหรือไม่ทำงาน ทำให้สมองส่วนที่เหลือทำงานได้ไม่เต็มที่ มักพบในผู้สูงอายุร้อยละ 60-80 ของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ที่น่ากลัวคือโรคนี้ไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายได้และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาจะเกิดภาวะสมองเสื่อมรุนแรงจนในที่สุดผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่สามารถแยกแยะถูกผิดและในระยะสุดท้ายจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์ลองมาทำความรู้จักกับโรคและสัญญาณเตือนความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์กัน

al3

อะไรคือปัจจัยเสี่ยง

  • จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่าโรคอัลไซเมอร์จะพบมากขึ้นตามช่วงอายุ โดยผู้สูงวัยอายุ 85 ปีจะพบว่า 1 ใน 4 จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ กลุ่มผู้สูงวัยอายุ 75 ปีจะพบผู้ป่วยอัลไซเมอร์ร้อยละ 15 กลุ่มผู้สูงวัยอายุ 65 ปีจะพบผู้ป่วยอัลไซเมอร์ร้อยละ 5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโรคอัลไซเมอร์จะพบมากขึ้นตามช่วงอายุที่มากขึ้น สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ  2-3 ของผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นโอกาสที่จะพบผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีมากขึ้นเช่นกัน

  • โรคอัลไซเมอร์สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ประมาณร้อยละ 5 โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการให้เห็นชัดตั้งแต่อายุ 50-60 ปี ดังนั้นหากมีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็จะมีโอกาสที่จะได้เหมือนกัน และแม้ว่าผู้ที่มีกรรมพันธุเป็นโรคอัลไซเมอร์จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากดูแลสุขภาพอย่างดี สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงได้ถึงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับผู้ที่ใช้ชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพ

  • มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความจำได้มากขึ้น

  • มาจากพฤติกรรมของคนที่มักใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่รับผิดชอบหน้าที่การงานหรือไม่ได้ฝึกพัฒนาความคิดก็อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน

ระยะของโรคอัลไซเมอร์

อาการของโรคอัลไซเมอร์จะกินเวลานานหลายปี และแสดงอาการตามระยะเสื่อมของสมอง  3 ระยะ  ดังนี้


ระยะแรก

มีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ เริ่มขี้หลงขี้ลืม ลืมเรื่องที่เพิ่งพูดไปหรือลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น  ชอบถามเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ พูดซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ เครียดง่าย อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า สับสนทิศทาง ตื่นตกใจง่าย ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ได้  มีความวิตกกังวลมาก แต่ยังสามารถสื่อสารและดูแลตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้ ระยะนี้คนรอบข้างอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติของผู้ป่วยบ่อยๆ เข้าก็จะทำให้รู้ได้ว่ามีความผิดปกติ ซึ่งระยะแรกคนในครอบครัวยังสามารถดูแลผู้ป่วยได้


ระยะกลาง

ในระยะนี้สามารถสังเกตอาการของผู้ป่วยได้ชัดเจนมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีความจำแย่ลงไปอีก มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิมจากที่เป็นคนใจดีกับฉุนเฉียวโมโหง่าย ปกติพูดจาเพราะกลับพูดจากหยาบคาย แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา หรืออยู่ดีๆก็เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันทั้งที่แต่ก่อนเคยทำได้ เช่น ใช้โทรศัพท์มือถือหรือรีโมททีวีไม่เป็น ใส่เสื้อกางเกงเข็มขัดไม่ได้ คิดอะไรที่ไม่ถูกทำนองครองธรรมหรือผิดศีลธรรม ไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง เช่น คิดว่าภรรยามีชู้ คิดว่ามีขโมยเข้ามาในบ้าน คิดว่ามีการยักยอกเงินของคนในครอบครัว คิดว่าของมีค่าในบ้านหายหรือมีคนจะมาฆ่า รวมถึงอาจมีอาการสับสน ลืมวันเวลา นอนไม่หลับ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ยากต่อการดูแลและการเข้าสังคม ผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้องฝึกทำใจและยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นและควรเก็บสิ่งของมีคม อาวุธ หรือสิ่งอื่นใดที่ผู้ป่วยสามารถนำมาใช้ในการทำร้ายผู้อื่นได้ และไม่ควรปล่อยผู้ป่วยให้อยู่บ้านตามลำพัง หากมีความจำเป็นควรล็อคประตูหน้าบ้านไว้ไม่ให้ออกจากบ้านไปได้


ระยะสุดท้าย

ในระยะสุดท้ายอาการของผู้ป่วยจะแย่ลง ผู้ป่วยจะเกิดภาพหลอนบอกว่าเห็นสิ่งต่างๆ เช่น มีน้ำท่วมบ้าน มีคนเข้ามาในบ้าน มีการเรียกร้องความสนใจ หรือก้าวร้าวขึ้น มักมีอาการทางกาย เช่น เคี้ยวอาหารและกลืนอาหารได้ลำบาก เคลื่อนไหวช้าลง หรือไม่สามารถเดินเองได้  ปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ดเนื่องจากกลั้นไม่อยู่และสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องพึ่งพาผู้อื่นในเรื่องง่ายๆ เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า เป็นต้น รวมทั้งมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง ทานอาหารได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด โดยระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่ระยะแรกจนเสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี  ระยะสุดท้ายนี้ผู้ดูแลต้องอาศัยความอดทนและดูแลทุกฝีก้าวอย่างใกล้ชิดไม่สามารถปล่อยผู้ป่วยให้อยู่ตามลำพังได้ ทำให้ต้องมีการจ้างพยาบาลหรือส่งไปยังสถานรับดูแลผู้ป่วย

สัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นอัลไซเมอร์

สัญญาณเตือนเริ่มแรกของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือ การสูญเสียความจำในระยะสั้น ซึ่งใกล้เคียงกับอาการความจำเสื่อมของผู้สูงอายุตามธรรมชาติ แต่ผู้ป่วยร้อยละ 80-90 เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งจะมีอาการทางจิตเวชหรือทางพฤติกรรมร่วมด้วย โดยมีสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคอัลไซเมอร์  ดังนี้

  • หลงลืมเหตุการณ์ระยะสั้น  ถามอะไรซ้ำซาก เช่น ลืมว่าได้ทำอะไรในชีวิตประจำวันไปแล้ว
  • ไม่สามารถวางแผนหรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ เช่น ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นขั้นตอนได้
  • อ่านหนังสือเข้าใจยากขึ้น กะระยะทางไม่ได้มักปล่อยสิ่งของลงก่อนถึงโต๊ะ แยกแยะสีได้ยากขึ้น
  • มีปัญหาในการใช้คำที่เหมาะสมในการพูดหรือเขียน เช่น ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อหรืออาจพูดคำหรือประโยคซ้ำๆ
  • มีความยากลำบากในการทำสิ่งที่คุ้นเคย
  • สับสนไปชั่วขณะ ลืมบ้านที่เคยอยู่หรือไม่รู้ว่าจะไปสถานที่ที่คุ้นเคยได้อย่างไร
  • ลืมของไว้ในที่ที่ไม่ควรวาง เช่น เก็บโทรศัพท์ไว้ในตู้เย็น
  • ความสามารถในการตัดสินใจลดลงหรือสูญเสียไป เช่น ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับตนเอง
  • ปลีกตัวออกจากงานที่ทำหรือกิจกรรมที่ชื่นชอบโดยไม่มีเหตุผล
  • อารมณ์และบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป เช่น ดูสับสน วิตกกังวล หวาดกลัว


หากพบสัญญาณเตือนข้อใดข้อหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง  เพื่อทำการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่แรกเริ่ม และรับการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด รวมถึงสามารถวางแผนอนาคตให้ตัวเองได้


วิธีชะลอการเกิดอัลไซเมอร์

  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมอง
  • ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ทำกิจกรรมการกระตุ้นความคิดอยู่เป็นประจำ


วิธีการวินิจฉัยโรค

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถตรวจสมองด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สามารถมองเห็นสภาพทางสมองหรือภาวะสมองเสื่อมเพื่อตรวจหาความผิดปกติในเนื้อสมอง ในเซลล์สมอง การสะสมของโปรตีนในผนังหลอดเลือดในสมอง การสูญเสียของการเชื่อมต่อกันของเซลล์ประสาท สิ่งเหล่านี้ทำให้สารสื่อประสาทลดลงในส่วนต่างๆ ของสมองซึ่งทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมได้


วิธีการรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาดได้ มีเพียงการรักษาให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้  โดยใช้ยายับยั้งสารอะเซตีลโคลีนเอสเทอเรส (Acetylcholinesterase) เพื่อลดการทำลายสารความจำในสมอง


สำหรับคนในครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ต้องช่วยกันทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคดังกล่าวให้ดี เมื่อผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมจะได้ตั้งรับได้ทันและไม่ควรใช้อารมณ์กับผู้ป่วยต้องใจเย็นอดทนในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ หรือไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจหงุดหงิด ในบางรายที่มีอาการหลอนอาจต้องใช้เทคนิคในการหลอกล่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ในบางรายที่มีอาการก้าวร้าวเอะอะโวยวาย ควรเก็บของมีคมอาวุธไม่ให้หยิบฉวยได้ง่าย ควรระวังเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ปิดวาล์วเตาแก๊สไว้เสมอ และควรจัดห้องหรือบ้านให้น่าอยู่ดูสดใสและสะดวกต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วย สำหรับรายที่เริ่มดูแลยากหรือชอบหนีออกจากบ้าน ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทเพื่อขอรับยาเพื่อบรรเทาอาการ เหนือสิ่งอื่นใดการให้ความรักดูแลเอาใจใส่เห็นอกเห็นใจและใช้ความอดทนเมตตาต่อผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยประคับประคองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ให้มีความสุขไปตามสถานะภาพจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  หากคุณมีความกังวลว่าจะเจ็บป่วยโรคร้ายแบบไม่คาดฝัน สนใจทำ ประกันเคลมคุ้มกลุ่มโรคร้าย (SCB Multi Care Multi Claims) ช่วยปกป้องความเสี่ยงให้กับตัวเอง ดูรายละเอียดได้ที่นี่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/insurance/cancer-insurance/mcci.html


ข้อมูลจาก

https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/Alzheimer-Signs

https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/september-2018/alzheimer-disease

https://www.paolohospital.com