4 ไอเท็มของมันต้องมีสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

การจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมาในครอบครัวเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างที่สุด และแน่นอนที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องตื่นเต้นและเตรียมการซื้อข้าวของเครื่องใช้ต้อนรับสมาชิกใหม่ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจยังซบเซา การจะใช้จ่ายเงินทองก็ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ถ้าจำเป็นต้องจำกัดงบค่าใช้จ่าย ก็ควรพิจารณาเลือกซื้อของจากประโยชน์และความคุ้มค่าเป็นสำคัญ ซึ่งเราได้คัดสรร 4 ไอเท็มของใช้เด็กที่อยากแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ มั่นใจได้ว่าเป็นการซื้อที่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์

4-must-have-items-for-new-parents-01

1)  เบาะที่นั่งนิรภัยติดรถยนต์ (คาร์ซีท) 


หากที่บ้านใช้รถยนต์ คาร์ซีท คือไอเท็มสุดจำเป็นที่พ่อแม่ต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก เพราะจากสถิติ“ทุก 1 ชั่วโมง มีคนตาย 2 คนจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย”* บ่งบอกว่าความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการขับขี่พาหนะสัญจรเดินทางไม่ไกลตัวเราเลย คาร์ซีทถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อป้องกันเด็กๆ จากความเสี่ยงที่เกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์โดยเฉพาะ โดยจากสถิติในสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การใช้คาร์ซีทอย่างถูกวิธีช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของทารกอายุต่ำกว่า 1 ขวบจากอุบัติเหตุในรถยนต์ได้ถึง 71% สำหรับเด็กอายุ 1-4 ปี ลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ 54% และในส่วนเด็กอายุ 4-8 ปีที่นั่งคาร์ซีทหรือบูสเตอร์ ลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ 45% เมื่อเทียบกับการนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยปกติ


คนมักจะเข้าใจว่าคาร์ซีทราคาแพงมาก ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เมื่อสำรวจดูคาร์ซีทที่วางขายในท้องตลาด จะพบว่าคาร์ซีทที่ราคาแพงตัวละหลายหมื่น จะเป็นแบรนด์พรีเมี่ยมที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็มีคาร์ซีทราคาหลักพันจากผู้ผลิตแบรนด์กลางๆ หลายรายที่มีคุณภาพได้มาตรฐานความปลอดภัย (เช่น ECE Regulation R44.04 ที่เป็นมาตรฐานคาร์ซีทในทวีปยุโรป)  หากคุณพ่อคุณแม่มีงบไม่มาก ก็สามารถเลือกซื้อแบรนด์ระดับกลางได้ เพราะสิ่งสำคัญจริงๆ แล้วอยู่ที่การเลือกซื้อคาร์ซีทที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เหมาะสมกับน้ำหนักส่วนสูงของลูก ติดตั้งคาร์ซีทได้ถูกต้องตามคู่มือผู้ผลิต  รวมถึงการมีวินัยฝึกฝนลูกให้นั่งคาร์ซีทจนเป็นนิสัย  มีคาร์ซีทหลายรุ่นที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ขวบหรือโตกว่านั้น ลงทุนซื้อครั้งเดียวก็ใช้ไปได้ยาวๆ


การมองข้ามความสำคัญของคาร์ซีทว่าสิ้นเปลืองไม่มีความจำเป็น แค่อุ้มเด็กนั่งบนตักกอดเอาไว้ก็พอแล้ว เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง การอุ้มเด็กนั่งตักไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยเลย เพราะไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไร จึงไม่มีทางที่ผู้ใหญ่จะตั้งตัวและระวังชีวิตน้อยๆ ในอ้อมกอดได้ทัน อย่างที่เคยมีข่าวน่าสลดใจที่เด็กกระเด็นออกมาจากตัวรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต การจ่ายเงินซื้อคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกเป็นการควักกระเป๋าจ่ายที่คุ้มค่ามากที่สุด เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นแม้เพียงเสี้ยววินาที ถึงตอนนั้นแม้จะมีเงินมากเท่าไรก็ไม่สามารถเรียกชีวิตของลูกกลับคืนมาได้ 

2)  เครื่องปั๊มนม


นมแม่เป็นอาหารชั้นเลิศของทารก มีคุณค่าสารอาหารมากมาย รวมถึงสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติ ตามคำแนะนำจาก UNICEF บอกว่าเด็กทารกควรได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และสามารถให้ต่อเนื่องควบคู่กับอาหารเสริมไปจนอย่างน้อย 2 ขวบหรือนานกว่านั้น  สำหรับคุณแม่ฟูลไทม์ ไม่น่าจะมีปัญหากับการให้ลูกได้ดื่มนมแม่อย่างเต็มที่ แต่ถ้าเป็นคุณแม่ที่ต้องทำงานล่ะ? ลาคลอดได้นานสุด 3 เดือนก็ต้องกลับไปออฟฟิศแล้ว ดังนั้นเครื่องปั๊มนมจึงเป็นไอเท็มจำเป็นของเวิร์คกิ้งมัมทั้งหลายที่อยากให้ลูกน้อยได้กินนมแม่นานๆ  นมแม่ที่ได้มาระหว่างวันก็นำมาแช่ฟรีซเก็บไว้ แล้วให้ผู้ช่วยเลี้ยงลูกเอามาละลายให้ลูกกิน แทนการชงนมผง


เรื่องราคาเครื่องปั๊มนมก็เหมือนกับคาร์ซีท มีทั้งแบรนด์พรีเมี่ยมราคาหลักหมื่น ซึ่งแบรนด์ที่นิยมกันราคาก็ไม่เกิน 2 หมื่นบาทและแบรนด์ปานกลางราคาหลักพัน การจะเลือกซื้อก็สามารถหาอ่านข้อมูลการรีวิวใช้งานที่มีอยู่มากมายในออนไลน์ และมีเว็บไซต์ให้บริการเช่าเครื่องปั๊มนมมาลองใช้ก่อน ไม่ชอบก็เปลี่ยนแบรนด์ได้ด้วย สำหรับไอเท็มเครื่องปั๊มนมนี้ บอกเลยว่าคุ้มมากๆ ทั้งในแง่ของคุณประโยชน์ที่ลูกน้อยจะได้รับ และไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่านมผงตกประมาณ 4,000-5,000 บาทต่อเดือน การที่ลูกกินนมแม่ 1 ปี ก็สามารถช่วยประหยัดเงินได้ถึง 48,000- 60,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว  

3)  เป้อุ้มเด็กที่ถูกหลัก Ergonomic


อีกหนึ่งไอเท็มที่อยากแนะนำคือเป้อุ้มเด็ก เพราะจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สะดวกมากๆ เมื่อยามที่พาลูกน้อยออกไปข้างนอก ด้วยข้อจำกัดของการเดินทางและสภาพถนนทางเท้าในบ้านเรา ทำให้เป้อุ้มเด็กเป็นทางเลือกที่ดีกว่ารถเข็นเด็กที่ใช้ได้เพียงในบางพื้นที่ อย่างไรก็ดี การซื้อเป้อุ้มเด็กควรเลือกแบบที่ถูกออกแบบมาถูกหลักสรีระศาสตร์ กระจายน้ำหนักได้ดี เพื่อถนอมสุขภาพหลัง ไหล่ของคนอุ้ม และช่วยให้เด็กอยู่ในท่าที่สบายเหมาะสมกับการเจริญเติบโต

4)  ประกันสุขภาพ


สุดท้ายที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด คือประกันสุขภาพเด็ก ที่สามารถทำได้ตั้งแต่แรกเกิด (หรือตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท) แม้ไอเท็มนี้จะไม่เห็นเป็นสิ่งของ แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยง ซื้อความคุ้มครองที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลในยามที่ลูกเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ในช่วงเวลาที่มีโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้นมาสารพัดโรค โดยเฉพาะโรคที่เกิดกับเด็กซึ่งยากจะหลีกเลี่ยง เช่น RSV, ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่, มือเท้าปาก ฯลฯ สำคัญอย่างมากที่ลูกจะได้เข้าโรงพยาบาลไปอยู่ใกล้หมออย่างรีบด่วน การมีประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษา ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจเลือกสถานพยาบาลเอกชนใกล้บ้านได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากนัก


แล้วอย่าประมาทไปว่าลูกของเราจะไม่เจ็บป่วยเป็นอะไร เพราะหากไม่สบายขึ้นมาแล้ว เห็นบิลตัวเลขค่ารักษา จะมาเสียดายที่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ แล้วถ้าจะมาทำทีหลัง โรคบางโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อย่าง RSV ถ้ามีประวัติว่าเคยเป็นแล้ว ประกันอาจพิจารณาไม่คุ้มครองกรณีเป็นซ้ำ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่นๆ (แล้วแต่การพิจารณาของบริษัท) ถึงจะอยากทำตอนนั้น ก็ไม่ทันแล้ว ป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อน สบายใจกว่า สนใจดูประกันสุขภาพเด็กเพิ่มเติมคลิกที่นี่ 


ในความรู้สึกของว่าที่คุณพ่อคุณแม่ ลูกเป็นเสมือนของขวัญที่มาเติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัว เป็นประสบการณ์อันมีค่าและช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกคนในการดูแลลูกน้อยให้เติบโตอย่างสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข


ที่มา
https://th.theasianparent.com/important-of-car-seat
https://www.thairsc.com/
http://safetyhubs.com/2019/04/carseatstandard44-04/
https://www.unicef.org/
https://www.maerakluke.com/topics/9458#:~:text=%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88,%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B0