ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
กรุงเทพฯ – เชียงใหม่: เรื่องของหัวใจ...ไม่ใช่จักรยาน
เรื่องโดย: ภู เมฆพิพัฒน์
“วันก่อนนั่งรถทัวร์กลับจากเชียงใหม่ เห็นถนนราดยางเรียบๆ ยาวๆ แล้วหมั่นเขี้ยว มาลองปั่นจักรยานไปเชียงใหม่กันมั้ย?” นริศ, เพื่อนผู้เป็นคุณพ่อลูกหนึ่งหล่นคำพูดนี้ไว้กลางวงเสวนาแกล้มน้ำสีอำพันในร้านคาราโอเกะกลางกรุงเมื่อต้นปี
ยอมรับว่าวินาทีนั้นผมยังคิดว่าเพื่อนพูดเล่นด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไม่นึกเลยว่าอีก 6 เดือนต่อมา ผมต้องอยู่ในสภาพเยินสุดฤทธิ์ขณะพยายามออกแรงถีบลูกบันไดจักรยานไต่ขึ้นสู่ยอดดอยขุนตาลเพื่อมุ่งสู่จุดหมาย... เชียงใหม่
กำหนดการทริปจักรยานกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ถูกวางไว้ช่วงวันหยุดยาว 12 สิงหา ก่อนหน้านั้น 2 เดือนผมพยายามซ้อมด้วยการปั่นจักรยานในวันหยุดให้ได้อย่างน้อยวันละ 50 กิโลเมตร นอกเหนือจากการปั่นจักรยานไปทำงานในชีวิตประจำวัน วันละประมาณ 10 กิโลเมตร แต่นริศนั้นต่างออกไปเพราะยังไม่มีจักรยานเป็นของตัวเอง เรื่องซุ่มซ้อมฝีมือและฝีเท้าเอาไว้ถีบจักรยานทางไกลเลยเป็นอันไม่ต้องพูดถึง อาศัยฟิตซ้อมร่างกายด้วยการเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ส่วนจักรยานนั้นเห็นว่า “จะหยิบยืมเอาจากรุ่นพี่ซักคน” คุณพ่อลูกหนึ่งหมาดๆ ว่างั้น
เห็นเค้าลางบางอย่างแล้วว่าทริปนี้น่าจะหนักกว่าที่คิดแฮะ...
วันเดินทาง ... เราวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 5 วัน โดยต้องปั่นให้ได้เฉลี่ยวันละ 150 กิโลเมตร ผมเริ่มสตาร์ทจากสวนจตุจักร ในขณะที่นริศเริ่มจากบ้านย่านปิ่นเกล้า นัดเจอกันแถวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เอาเข้าจริงกว่าจะมาบรรจบกันก็ล่วงเข้าสิงห์บุรีตอนบ่ายๆ แล้ว แต่ละคนสภาพกระย่องกระแย่งสุดๆ เพราะเป็นการปั่นจักรยานระยะทางเกิน 100 กิโลเมตรเป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่ เข้าพักในโรงแรม(กึ่ง)ม่านรูดราคาคืนละ 300 บาทริมถนนสายเอเชีย และต้องหาน้ำแข็งมาประคบกล้ามเนื้อขาเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้า
อย่างน้อยวันเริ่มทริปก็มีโมเม้นท์ดีๆ เกิดขึ้นขณะกำลังจะสิ้นแรงก่อนพ้นจังหวัดอ่างทอง มีพี่ในรถเก๋งโตโยต้าเปิดกระจกรถมาสอบถามถึงปลายทาง พร้อมให้กำลังใจให้ไปถึงจุดหมาย ทำให้ได้แรงฮึดขึ้นมาอีกโข
วันที่สอง
ออกจากสิงห์บุรีแต่เช้า มุ่งหน้าสู่กำแพงเพชร ท้องทุ่งเขียวสดตัดกับฟ้าแจ้งกระจ่างไร้เมฆกลางเดือนสิงหาคม จักรยาน 2 คันค่อยๆ ปั่นตามกันไป เราได้ร้านกาแฟตามปั๊มน้ำมันเป็นที่พักเติมพลัง มีเพิงหนูนาย่างริมทางส่งกลิ่นรัญจวนกระเพาะเป็นระยะ กระทั่งก่อนเข้านครสวรรค์เล็กน้อย จักรยานของนริศก็ยางแตก บังเอิญว่าผมปั่นล่วงหน้ามาไกลพอสมควรแล้ว นริศซึ่งไม่มีอุปกรณ์ปะ/เปลี่ยนยางติดมาด้วยหาร้านปะยางใกล้เคียงไม่เจอ สุดท้ายก่อนจะค่ำมืดจึงตัดสินใจยกจักรยานขึ้นท้ายกระบะว่าจ้างให้มาส่งที่อำเภอสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ผมรอจนนริศมาถึงเราก็หาร้านจักรยานเพื่อปะยางก่อนจะเข้าที่พัก แน่ล่ะ... โรงแรมม่านรูด “ยูเทิร์น โฮเทล” เป็นแหล่งพักพิงของเราสองหนุ่ม โชคดีที่พี่เจ้าของโรงแรมเป็นนักปั่นด้วย เลยคิดค่าห้องราคาพิเศษในฐานะสหายสองล้อด้วยกัน ^ ^
วันที่สาม จากสลกบาตร ปั่นฝ่าเปลวแดดจัดตอนสายๆ ก่อนจะเจอฝนบนถนนคลองวังเจ้าสายเก่า เราเลือกปั่นผ่านเส้นนี้เนื่องจากเป็นถนนสายรอง รถวิ่งน้อยกว่าสายหลัก ร่มครึ้มด้วยต้นไม้ แม้จะไม่มีปั๊มให้พักระหว่างทางแต่ก็มีเพิงให้แวะอุดหนุนขนมผลไม้พื้นบ้านเป็นระยะ ผมยังจดจำความอร่อยของมะม่วงกวนกับข้าวต้มมัดฝีมือคุณป้าในเพิงเล็กๆ บนถนนเส้นนั้นได้จนทุกวันนี้
น่าจะเป็นวันแรกที่มีเนินขนาดย่อมๆ มาทักทายอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกว่าเรากำลังจะผ่านพ้นพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง จวบจนเย็นเราก็มาถึงอำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ได้ “หอพักกัญญารัตน์” เป็นที่นอนในราคา 350 บาทต่อคืน “ลุงน้อย” รปภ.ใจดี อนุญาตให้ยกจักรยานขึ้นมาเก็บบนห้องพักชั้นสองได้ ผมยังซาบซึ้งถึงน้ำใจจากเจ้าของร้านอาหารมื้อเย็น “ครัวบ้านอาจารย์” เมื่อรู้ว่าเราปั่นจักรยานมาจากกรุงเทพฯ แกชวนให้เรามาพักเรือนริมน้ำปิงที่สร้างใกล้แล้วเสร็จหากมีโอกาสมาเยือนในคราวหน้า รวมทั้งยังฝากลำไยสองพวงใหญ่ใส่ถุงผูกตะแกรงท้ายรถผมมาให้ด้วย....
“เผื่อเอาไว้กินระหว่างทาง มันสดชื่นดี”
วันที่สี่ ออกเดินทางตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลุกขึ้นมาตอกบัตร ถนนเวิ้งว้าง ผ่านปากทางเข้าเขื่อนภูมิพลเห็นจักรยานคันเท่าบ้านจอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าป้ายเขื่อน เจอรถไอศกรีมผ่านมาเลยได้นั่งพักกินไอศกรีมเย็นๆ กันคนละแท่ง พี่คนขายเล่าให้ฟังว่าเจอนักปั่นบนเส้นทางนี้บ่อยๆ เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเราทั้งคู่
“ผมเป็นคนโคราช มาขายไอติมแถวนี้ได้ 6 ปีแล้ว ก็ได้เรื่อยๆ” โห... มาไกลจังพี่
มันเป็นวันที่แดดโหดมาก ต้องแวะพักถี่กว่าทุกวัน บางครั้งก็นึกเวทนากึ่งสมน้ำหน้าตัวเองว่าที่จริงตอนนี้ต้องนั่งแช่แอร์เย็นๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศกลางกรุง ทำไมต้องหาเรื่องทรมานตัวเองกลางแดดจัดจ้าแบบนี้ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องไปต่อให้สุดทาง... เหลืออีกนิดเดียวเอง
นริศเองก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บจากการปั่นรถผิดไซส์มา 4 วันติดๆ ให้เห็น แถมยังเหมือนจะมีไข้อ่อนๆ ด้วย ยังดีที่เราได้พักในโฮมสเตย์หลังใหญ่แสนอบอุ่นของป้าปิงที่อำเภอเกาะคา ได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนจะเจอศึกหนักในวันพรุ่งนี้
วันที่ห้า ได้ข้าวต้มหมูแสนอร่อยกับปาท่องโก๋จากป้าปิงเติมพลังให้แต่เช้า เรียกได้ว่าสุดคุ้มกับค่าที่พักคนละ 300 บาท ยังเช้าเกินกว่าที่พระธาตุลำปางหลวงจะเปิดให้เข้าเยี่ยมชม เราเลยทำได้เพียงไหว้ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยจากนอกกำแพงวัดก่อนจะไต่ขึ้นดอยขุนตาล
ครับ... อุปสรรคเบื้องหน้าในวันนี้มีชื่อว่าดอยขุนตาล ซึ่งเราจะต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ด้วยสองแรงขาล้วนๆ ไม่มีตัวช่วย หยาดเหงื่อแต่ละเม็ดที่หยดลงพื้นบวกกับเสียงหอบคละกังวาลของเสียงสับจานเมื่อต้องเปลี่ยนเกียร์ไปมา ต้องใช้แรงเพียงใดกว่าจะกดลูกบันไดพาให้รถเคลื่อนไปได้ทีละเมตร.. สองเมตร.. สามเมตร มันไม่สนุกหรรษาเหมือนตอนที่ขับรถทิ้งโค้งซ้ายปาดเข้าเลนขวาสลับกันไปมาอย่างตอนที่ขับรถขึ้นดอยขุนตาลมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว แถมบางจังหวะก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องสูดเอาควันดำๆ จากเหล่ารถบรรทุกที่ค่อยๆ แซงเราไปทีละคัน
กระทั่งได้พบศาลเจ้าพ่อขุนตาน นั่นคือสิ่งที่บอกให้รู้ว่าสองแรงขาถีบได้พาเรามาถึงยอดดอยแล้ว หลังจากนั้นคือช่วงเวลาแห่งความสนุก เสียว ลุ้นสุดยอดเมื่อต้องปล่อยให้รถไหลลงจากดอยด้วยความเร็วแตะ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และนั่นหมายความว่าเราต้องใช้ประสาทสัมผัสที่มีทั้งหมดในการควบคุมรถ เพราะความผิดพลาดเพียงนิดอาจหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว
ในที่สุด... เราก็มาถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพในเย็นวันที่ห้า ถ่ายรูปคู่กับประตูท่าแพที่เราอุปโลกน์เสมือนดั่งประตูชัย จากนั้นก็หาที่พักราคาย่อมเยาริมคูเมือง ผมพอมีโอกาสได้ปั่นจักรยานเล่นในเกาะเมือง ให้รู้สึกอิจฉาคนเชียงใหม่ตรงที่มีตรอกซอกซอยเล็กๆ เหมาะกับการปั่นจักรยานซอกแซกไปไหนมาไหนจริงๆ
สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นคนบ้าบนหลังอาน ปั่นจักรยานวันละร้อยกว่ากิโลเมตรในเส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ หรือแค่อยากรู้ว่าคนประเภทนี้ทำไมถึงคิดอะไรแผลงๆ ผมขอกลั่นประสบการณ์จริงมาเล่าสู่กันฟังครับ
เมื่อคุณลองได้ปั่นจักรยานเดินทางไกลแล้ว แม้จะเป็นเส้นทางเดียวกันแท้ๆ แต่มุมมองที่มีต่อสิ่งรอบข้างจะเปลี่ยนไปจากตอนที่คุณนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์แน่นอน.... คุณจะได้รับน้ำใจจากผู้คนตามรายทาง คุณจะเห็นว่าในพื้นที่ภาคกลางของเราเค้าจริงจังในการสร้างพระพุทธรูปไซส์ยักษ์กันขนาดไหน คุณจะรู้ว่าโรงแรมม่านรูดมิได้มีเพียงเพื่อวัตถุประสงค์เดียว คุณจะได้ลิ้มรสหนูนาย่างใหม่ๆ คุณจะได้กำลังใจจากคนที่รู้ถึงจุดหมายของคุณ คุณจะได้รับการดูแลจากร้านจักรยานน่ารักๆ ที่อำเภอบ้านตาก คุณจะได้สัมผัสความงามของลำน้ำวังที่พาดผ่านกลางอำเภอเกาะคา คุณจะได้กลิ่นดินกลิ่นฝนกลิ่นรวงข้าวหอมๆ ริมถนน คุณจะได้รอยยิ้มพร้อมคำอวยพรภาษาคำเมืองจากพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยท่ามกลางสายหมอกจางๆ ยามเช้า และเหนือสิ่งอื่นใด... คุณอาจจะได้รู้ว่าตัวเอง “เป็น” และ “ทำ” อะไรได้มากกว่าที่คุณคิดไปไกล....มากกกก
ถึงย่อหน้าสุดท้ายแล้ว ไปเถอะครับ... จะปั่นจักรยานแค่ออกไปซื้อกับข้าวปากซอย ปั่นออกถนนไปทำงาน หรือจะปั่นทางไกลไปถึงไหนก็แล้วแต่ จักรยานอาจทำให้คุณรู้ว่าคุณสามารถทำหรือเป็นอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด... แน่นอน.
Apply for a SCB Beyond Platinum card now and get 2,000 Baht cashback if spending of 2,000 Baht & above.