หนีไกลไปจอร์แดน…สู่แคว้นทะเลทราย (ตอนที่ 2)

หลังจากคุ้นเคยกับประเทศจอร์แดนกันพอสมควร   ตอนนี้ได้เวลาออกไปเที่ยวกัน   ที่นี่จะทำให้คุณเหมือนออกไปสัมผัสกับโลกกว้างอีกด้านที่เราไม่คุ้นเคย   มีที่ไหนบ้างตามไปเที่ยวกันเล้ย


เที่ยวไหนดี? ที่จอร์แดน

ถ้าถามอากู๋ ( google) เพตรา คือ   สิ่งแรกที่คุณจะพบ  ตามด้วย เดดซี,   วาดิรัม สำหรับเราขอเพิ่ม เจอราช เข้าไปในลิสต์อีก  1  ที่ที่คุณไม่ควรพลาด

main

เพตรา  (Petra)

มหานครสีกุหลาบ  1  ใน  7  สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และมรดกโลกจากยูเนสโก สำหรับเราแล้วเมืองนี้คือ  เมืองในฝันที่ต้องมาเยือนให้ได้   ทริปเที่ยวเพตราแนะนำว่า  ถ้าชอบการเดิน Trail  ควรเลือกซื้อ  Jordan  Pass แบบ 2 หรือ 3  วัน  จะคุ้มกว่า  เพราะมีเส้นทางให้เลือก   8  เส้นทางใช้เวลาวันเดียวไม่พอ   แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่สาย Trail  เที่ยววันเดียวก็ยังได้  ขอแนะนำเส้นทางยอดฮิต  ที่ไม่ควรพลาด

  • Main Trail

เป็นทางเข้า-ออกหลัก ที่จะพาไป “มหาวิหารศักสิทธิ์ เอล-คาซเนท์” (El-Khazneh) ซึ่งก็คือ ปราสาทศิลาทรายสีชมพู  ที่เห็นกันในหนัง Indiana Jones ยังไงล่ะ  ทางสายนี้จะเดินในระดับง่าย (Easy) ใช้เวลาเดินไม่นานประมาณ 1  ชั่วโมงก็ถึง  ปราสาทขนาดใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก   มีความสูง  40 เมตร  กว้าง  28  เมตร  เห็นแล้วรีบถ่ายรูปทุกมุมก่อนที่คนจะเยอะ

  • Al Kubtha Trail

เส้นทางนี้เดินขึ้นไปบนเขาเพื่อจะเห็น  “มหาวิหารศักสิทธิ์ เอล-คาซเนท์” ในมุมสูง มุมนี้ถือเป็นมุมมหาชนที่ทุกคน (ที่มีความอึด) ต้องขึ้นไปถ่ายรูป   ใช้เวลาเดินประมาณ  2-3 ชั่วโมง ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นไป  เพราะเป็นเส้นทางระดับยาก (Hard) แค่อยากลองขึ้นไปสักครึ่งทางแล้วถ่ายรูปมุมสูงลงมาเอาไว้อวดชาวโลก   ที่ไหนได้เพื่อนเราเขาเกิดฟิต  เดินนำหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ  เราก็เลยเดินตาม  จนมาถึงผาวัดใจถ้าไปต่อก็ต้องเดินขึ้นไปถ้าไม่ไหวก็ต้องเดินลง

แต่แล้วจู่ ๆ  ฝรั่งสองแม่ลูกก็เดินเข้าฉากมาเหมือนอย่างในหนัง เพื่อนเราเข้าไปถามว่าอีกไกลมั้ย?  สองแม่ลูกยิ้มกว้างบอกว่าไม่ไกลอีกแค่  10  นาที แหมแค่นี้เองเดินกันต่อเลยเราบอก แต่ยิ่งเดินเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอผู้คน นี่เราหลงทางกันหรือเปล่าชักหวั่นใจ   มาถึงตรงนี้เป็นทางชันไม่มีทางขึ้นเขาต่อไปอีก มองลงไปเป็นทางราบ  แต่ไม่รู้ว่าจะลงอย่างไรดี เจอฝรั่งอีกกลุ่มเดินสวนขึ้นมา  ถามว่าใช่ทางไปดูปราสาทมุมสูงหรือเปล่า  ฝรั่งตอบว่าใช่


ยังไม่ทันได้ถามต่อ  ก็จ้ำอ้าวหายไปในพริบตา แล้วขึ้นกันมาได้ยังไงเรานึกในใจ  เพราะตรงนี้เป็นทางชันลงภูเขาไม่มีทางลาด  ต้องไต่เขาลงไปพื้นราบความสูงประมาณ 3  เมตรไม่มีต้นไม้ให้เกาะเกี่ยว  มีที่พึ่งเดียว  คือ  ขาและใจ ด้วยความรักเพื่อนเลยส่งให้ลงไปก่อน  เพื่อนตัดสินใจนั่งลงแล้วเอาก้นไถ่ลงกว่าจะลงไปได้ก็ทุลักทุเล   ส่วนเราอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า  ใช้วิชาตัวเบากวัดแกว่งขาไปหาซอกหิน  แล้วค่อย ๆ ปล่อยตัวไถลลงพื้นราบ

กว่าจะผ่านด่านนี้ได้ก็ใช้เวลาหลายนาที   จากจุดพื้นราบบนภูเขาต้องเดินต่อไปอีก  ทั้ง ขึ้นเขา-ลงเขา อีกหลายรอบกว่าจะถึงที่หมาย ตลอดทางนึกสรรเสริญสองแม่ลูกฝรั่ง  ที่เจอระหว่างทางว่า “10 Minutes บิดาเธอจริง ๆ” เมื่อถึงที่หมายหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง   ด้านหน้าคือหน้าผาสูงมองลงไปข้างล่างเป็นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ มุมมหาชนที่ทุกคนต้องมี แต่กว่าจะออกไปยืนที่ริมหน้าผาก็ต้องอาศัยใจกล้านิดหนึ่ง  กลั้นใจถ่ายรูปไม่มองลงข้างล่าง ไม่เช่นนั้นขาอาจหมดแรงพลัดตกได้ง่ายๆ  ได้รูปมุมมหาชนแล้ว ก็ถึงคราวเดินลงเขากลับไปที่มหาวิหารด้านล่าง

  • Ad-Deir Trail

เส้นทางนี้เป็นทางไปชม The Monastery  เป็นปราสาทที่สร้างอยู่บนยอดเขา  รูปแบบคล้ายกับ  “มหาวิหารศักสิทธิ์ เอล-คาซเนท์”  แต่ขนาดเล็กกว่า  ทางเดินนี้อยู่ในระดับยาก (Hard)  ใช้เวลาเดินขึ้นเขาประมาณ   2 – 3  ชั่วโมง  จุดนี้เรากับเพื่อนเห็นตรงกันว่า   ควรจะขี่ลาขึ้นไปเพื่อเก็บกำลังขาและประหยัดเวลา  เพราะตามโปรแกรมพวกเราจะอยู่ที่เพตราแค่  1  วัน   ก่อนที่จะขึ้นไปที่  The Monastery  ทุกคนต้องเดินผ่านเส้นทาง  Main Trail  ก่อน  ระหว่างทางจะมีชาวเบดูอิน  ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของที่นี่  มาชักชวนนักท่องเที่ยวให้ขี่ลา  สำหรับเราที่มีเป้าหมายอยู่แล้ว   เลยทำท่าสนใจสอบถามราคา  แต่ยังไว้ฟอร์มไม่ยอมตอบตกลงง่าย ๆ   เพราะเคยอ่านในพันทิปแนะว่า  อย่าเพิ่งตกลงจนกว่าจะเดินไปถึง มหาวิหาร  เพราะที่นั่นมีลาให้เลือกหลายเจ้า  สามารถต่อรองราคาและอาจได้ที่ถูกกว่า

หลังจากถ่ายรูปมหาวิหารจนหนำใจ   เจ้าหนุ่มเบดูอินรายเดิมก็ปรากฎกายขึ้น  เหมือนรอคอยคำตอบจากหญิงสาวที่หมายปอง   แต่หญิงสาวกลับเล่นตัวตีเนียนไม่สนใจ   เลยเปิดโอกาสให้หนุ่มหน้าใหม่เข้ามาเสนอตัว  การมะรุมมะตุ้มของกลุ่มชายเบดูอินจึงเกิดขึ้น   ทุกคนล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราไว้    เลยรีบชิ่งหนีแต่พวกนั้นก็ตามไม่ลดละ  แย่งกันตัดราคาใหญ่   ตอนนี้สาวเจ้าเริ่มได้เปรียบ   แต่จะเลือกหนุ่มไหนดีล่ะ  แถมไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร   เลยตัดสินใจหนีเข้าห้องน้ำ   ตกลงกับเพื่อนว่าจะเอาเจ้าที่ถูกที่สุด    ออกห้องน้ำก็โดนล้อมอีก คราวนี้เบดูอินเจ้าแรก  เสนอตัดราคาที่  10  usd  เจ้าอื่นดูไม่พอใจ  อีกเจ้าเลยบอกว่าของเค้าก็  10 usd  เหมือนกัน


คราวนี้ความซวยตกมาที่สาวเจ้า   เพื่อไม่ให้โดนรุมมากไปกว่านี้   ตกลงใจไปคนละเจ้าก็แล้วกัน  เราไปกับเบดูอินเจ้าแรก ส่วนเพื่อนไปกับเจ้าที่เสนอราคา 10 usd  หลังจากตัดสินใจเลือกหนุ่ม (ว้ายลืมตัว)  เลือกลาที่จะขี่แล้ว   หนุ่มอื่น ๆ ที่มะรุมมะตุ้มเราสองคนก็สลายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย  ไม่นานนักระหว่างขึ้นเขา  หันกลับไปดู  เห็นหนุ่มเบดูอินเจ้าแรกถูกตะลุมบอนจากเจ้าอื่น ๆ  น่ากลัวมากแต่ก็สายเสียแล้ว  เพราะตอนนั้นกำลังขี่ลาไปบนเขา   ได้แต่ภาวนาว่าหนังสือพิมพ์ของที่นี่จะไม่ขึ้นหน้าหนึ่ง “พบร่างสาวไทยถูกหมกทรายไว้ที่เพตรา”

สำหรับการขี่ลาถือเป็นครั้งแรก   น้องลาตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก  พาไต่เขาขึ้นไปเรื่อย ๆ  เวลาขี่ต้องทำตัวชิลๆ    ถ้าน้องหันตัวไปทางซ้าย  ก็ต้องเอียงตัวไปทางซ้าย  ถ้าไปทางขวาก็ต้องเอียงตัวตาม   ถ้าอยากให้เปลี่ยนทิศก็แค่กระตุกเชือกฝั่งตรงข้าม  น้องแสนรู้มากชักจะชอบแล้วสิเรานึกในใจ

ยิ่งขึ้นไปสูงทางเดินก็ยิ่งแคบชันขึ้นเรื่อย ๆ  แทนที่น้องจะหมดแรงกลับคึกคักมากกว่าเดิม   เริ่มบ่ายหน้าวิ่งหาหน้าผาทันที  มองลงไปข้างล่างเห็นผาสูงชัน   ใจตกลงตาตุ่ม   พยายามบังคับให้เดินช้า ๆ  กระตุกเชือกเพื่อให้เบนตัวออกจากหน้าผา  แต่น้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  กระโจนตัวพุ่งขึ้นไหล่เขาต่อทันทีสามสี่ยก   ไม่รู้ควรทำอย่างไร  ที่จะหยุดความคึกคะนอง  เลยลองกระตุกเชือกทั้ง  2  ข้าง  ก็ไม่หยุด  กระโจนตัวพุ่งขึ้นไหล่เขาต่อไปเรื่อย ๆ  ตัดสินใจกระตุกเชือกอีกทีแรง ๆ  ครั้งนี้ได้ผลแฮะ   ค่อย ๆ  ลดความเร็ว  เดินช้า ๆ ไปหยุดที่ริมหน้าผาอีกเช่นเคย (เวรกรรมของอะไรอย่างนี้)  น้องดูชิล ๆ   ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ส่วนเราแขนขาอ่อน  ในที่สุดก็ถึง The Monastery อย่างสะบักสะบอม   ส่วนขาลงไม่ต้องพูดถึงเพลียพอๆ กัน

ตลอดวันได้ผจญภัยเต็มอัตรา  จนแข้งขาอ่อนล้าเดินต่อไม่ไหวแน่  เลยตัดสินใจขี่อูฐรับจ้างกลับไปที่มหาวิหาร ตอนนี้ราคาเท่าไหร่ไม่เกี่ยง   ถึงมหาวิหารต้องเดินต่ออีก  8  กิโลเมตร เพื่อออกจากเพตรา   ขาเข้าเดินง่ายเพราะลงเขา  แต่ขาออกนี่สิขึ้นเขา   เดินไปสักพักเห็นคนนั่งรถม้าวิ่งผ่านไป  เรากับเพื่อนสบตากัน นั่งรอข้างทางเผื่อจะมีรถม้าผ่านมาอีก  แต่โชคไม่เข้าข้างมีคนนั่งเต็มตลอด

ตอนนั้นก็เย็นย่ำใกล้ถึงเวลานัดเจอคนขับรถ เลยกลั้นใจเดินต่อไป  ขาก็ยกแทบไม่ไหว เดินออกมาได้ประมาณครึ่งทางเจอบริการให้เช่าขี่ม้า   แม้ยังไม่หายหวาดผวาจากน้องลา  แต่ไปต่อไม่ไหวจริง ๆ   ได้ฤกษ์ขี่ม้าปิดทริปที่แสนทรหด  แต่ไม่วายก่อนจบเจอดีจนได้

เมื่อขี่ม้าถึงทางออกเพตราจ่ายเงินให้เจ้าของม้า   เขาบอกว่าไม่มีเงินทอน    เลยบอกให้ไปแลกเงินเจ้าอื่นสิ   แขกก็ไม่ยอมบอกให้ทิปก็แล้วกัน     รู้สึกได้ว่ากำลังโดนหลอก  เพื่อนเลยตัดสินใจเดินไปแลกเงินที่  Tourist Visitor   โดยทิ้งให้เรานั่งเป็นตัวประกัน  นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่กลับมาสักที   แขกทำท่าหงุดหงิด   เรายิ้มใจดีสู้เสือ   แขกเริ่มพูดเสียงดังขู่ให้รีบจ่ายเงิน   เราเลยบอกว่ายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ไม่ค่อยมีเงิน   แขกถามอายุเท่าไหร่   บอกไป  18  ปี  แขกทำหน้าไม่เชื่อ  Really?


ก็  “หน้าแก่ไง”  ยูไม่เคยเห็นเหรอคนหน้าแก่น่ะ  เราพูดออกไปไม่อายฟ้าดิน จู่ ๆ แขกก็เปลี่ยนท่าทีเป็นมิตร  (ไม่คิดว่ายุทธวิธีนี้จะได้ผล) เลยชวนคุยต่อว่ามาจากเมืองไทย  เคยไปเที่ยวมั้ย  ทะเลสวยนะ  อาหารอร่อย   โม้โน่นโม้นี่มากมาย   ในที่สุดเพื่อนก็กลับมาจากแลกเงิน (โล่งใจไปที)   รีบจ่ายเงินแล้วเดินหนีอย่างไม่คิดชีวิต   ไม่รู้ว่าคืนนี้ แขกจะแอบเอาไปเม้าท์กับคนที่บ้านหรือเปล่าว่า   “วันนี้เจอคนไทย  หน้าแก่เกินวัยไปหลายเบอร์”

ะเลเดดซี (Dead Sea)

ทะเลที่หลายคนใฝ่ฝันว่า  อยากจะลองลอยตัวแช่น้ำ  แล้วอ่านหนังสือดูสักครั้ง  ที่นี่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล  400  เมตร   น้ำเค็มที่สุดในโลกและเค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไปถึง  20  %  ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในทะเล   นอกจากจะเล่นน้ำทะเลไม่จมน้ำแล้ว  การลอยตัวต้องระวังอย่าให้น้ำเข้าหูเข้าตา ยิ่งใครที่เนื้อตัว  มีแผลสด  แผลเปื่อย   แผลสิว  จะรู้สึกแสบๆ คันๆ  จนทนไม่ไหว  ทำให้ลงเล่นน้ำได้คนละไม่เกิน  10-15  นาทีตัวก็ซีดเซียว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทำ   คือ  การพอกโคลนที่มีสีดำสนิท  โคลนนี้มีแร่ธาตุที่ดีต่อผมและผิว   จึงเห็นคนหน้าดำ    ตัวดำ  นอนอืดเป็นแพอยู่ริมชายหาด   มีอีกเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า  ใส่ชุดว่ายน้ำได้หรือเปล่า   ถ้าเป็นที่เฉพาะนักท่องเที่ยวแบบชายหาดส่วนตัว   สามารถใส่ได้จะทูพีช  วันพีช  บิกินี่   เกาะอก  เกาะเอว  ไม่มีห้าม   แต่ถ้าเป็นที่สาธารณะ  ควรใส่ชุดว่ายน้ำที่ปิดมิดชิดแบบแขนขายาวไปเลยจะเหมาะกว่า

ทะเลทรายวาดิรัม   (Wadi Rum)

ทะเลทรายนี้ในอดีตเป็นเส้นทางคาราวานจากประเทศซาอุดิอาระเบีย  เดินทางไปยังประทศซีเรียและปาเลสไตน์ ที่นี่มีกิจกรรมห้ามพลาด คือ   นั่งรถจี๊ปตะลุยทะเลทรายไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก   มองดูทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา  ทิวทัศน์แปลก ๆ  เม็ดทรายของที่นี่ละเอียดมากสีออกส้มอมแดง  ได้ความรู้สึกสงบเหมือนอยู่นอกโลก   ที่นี่อากาศหนาวและลมแรง  อย่าเผลออ้าปากกว้างเพราะเม็ดทรายจะปลิวเข้าปากเต็ม ๆ   สำหรับเรานอนค้างที่นี่คืนหนึ่งก็พอแล้ว  เพราะไม่มีอะไรจะทำ ทิวทัศน์บรรยากาศก็เหมืนเดิมจะตื่นเต้นเฉพาะตอนแรกที่เห็น  ถ้าเห็นทุกๆ วันก็น่าเบื่อไม่น้อย

นครเจอราช  (Jerash)

เมืองนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า  “นครพันเสา”  เป็น  1  ใน  10  หัวเมืองตะวันออกของอาณาจักรโรมัน  สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวปี  200 – 300  ก่อนคริสตศักราช  เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และถูกทรายฝังกลบจนหายสาปสูญไปนับพันปี   ที่นี่มีสถาปัตยกรรมแบบโรมันให้ชม  ทั้งซุ้มประตู,   สนามแข่งม้า,   โอวัลพล่าซ่าที่พบปะสังสรรค์ของคนในเมือง,   วิหารเทพซูส,    โรงละคร,   วิหารเทพีอาร์เทมิส,   น้ำพุใจกลางเมือง,  เสาโรมัน  และสิ่งอื่น ๆ ที่หลงเหลืออยู่  เช่น  ร่องรอยของล้อรถม้า,  ฝาท่อระบายน้ำ,  ซุ้มโคมไฟ,  บ่อน้ำดื่มของม้า เป็นต้น     เราชอบดูของโบราณเลยตื่นเต้น  เพราะที่นี่มีความสมบูรณ์ทางสถาปัตยกรรม  โดยเฉพาะน้ำพุใจกลางเมืองที่แทบจะคงสภาพได้เกือบเหมือนในอดีต   รวมถึงเสาโรมันนับร้อยต้นที่เรียงรายเป็นรูปโค้งวงกลม  ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์น่าค้นหา  เที่ยวได้  1  วันเต็ม ๆ  ไม่มีเบื่อ

นอกจากจุดห้ามพลาดเช็คอินกันแล้ว  ที่จอร์แดนยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าค้นหา  ทั้ง เมืองมานาบา  (Madaba) , โบสถ์เซนต์จอร์จ (St George church) , เมาท์ เนโบ (Mount Nebo) ดินแดนศักดิ์ ,  ปราสาทเครัค (Kerak Castle) , เมืองอาคาบา (Aquba) เมืองตากอากาศที่สามารถล่องเรือ  ดำน้ำ  และชมปะการังในทะเลแดง ส่วน นครอัมมาน สามารถไปดู ป้อมปราการ (Citadel) ที่เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงแบบ 360 องศา  หรือจะไป โรงละครโรมันโบราณ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจุคนได้ถึง  6,000 คน   ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย    การไปเที่ยวต่างประเทศนอกจากจะได้เปิดหูเปิดตา  เห็นมุมมองแปลกใหม่   เรายังได้เรียนรู้วัฒนธรรมและเข้าใจความเป็นไปของคนท้องถิ่นในแบบที่เขาเป็น   จนกว่าเราจะพบกันอีกครั้ง   “อัสลามุอะลัยกุม”  พ่อหนุ่มแบบบ้าน ๆ

หนีไกลไปจอร์แดน…สู่แคว้นทะเลทราย   (ตอนที่  1)