ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
Universal Design หลักการออกแบบ ปรับปรุงบ้านให้อยู่สบายปลอดภัยสำหรับคนทุกวัยในครอบครัว
ยังมีครอบครัวไทยจำนวนมากที่มีหลายเจนเนอร์เรชั่นอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น มีคู่พ่อแม่วัยกลางคนที่มีลูกเล็กวัยอนุบาล และมีคุณตา คุณยายวัยชรา ที่คอยช่วยเลี้ยงหลานเวลาที่พ่อแม่ออกไปทำงาน ชีวิตต่างวัยภายใต้หลังคาเดียวกันบางครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความต้องการและสภาพร่างกายของคนแต่ละวัยนั้นต่างกัน แต่จะออกแบบบ้านอย่างไรให้มีฟังก์ชั่นและพื้นที่ใช้สอยแต่ละส่วนให้ตอบโจทย์สำหรับทุกคนแบบที่ทำแล้วจบครบทุกความต้องการ วันนี้เรามีแนวคิดในการออกแบบ ปรับปรุงบ้านให้อยู่สบายสำหรับทุกคน นั่นคือแนวคิด Universal Design นั่นเอง
Universal Design หรือบางครั้งถูกเรียกว่า Barrier-free design
เป็นแนวคิดในการออกแบบที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงาน ให้อยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับคนทุกประเภท ไม่ว่าจะเรื่องของวัยหรือสมรรถภาพร่างกาย ในทุกเวลา ทุกฤดูกาล โดยไม่ต้องทำการดีไซน์ส่วนใดส่วนหนึ่งเฉพาะเพื่อใครเป็นพิเศษ เพราะทุกองค์ประกอบใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว แนวคิดนี้เป็นของ Ron Mace สถาปนิกชื่อดัง โดยเขาได้ก่อตั้ง The Center for Universal (
www.design.ncsu.edu/cud
) ขึ้นที่มหาวิทยาลัย North Carolina State University ในปี 1989 และภายหลังในปี 2007 ได้มีการปรับปรุงแนวคิดนี้และประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
หลัก 7 ประการของ Universal Design
หลักการที่ 1 : ใช้งานได้กับทุกคน (Equitable Use )
การออกแบบต้องคำนึงถึงความแตกต่างของสมรรถภาพร่างกายของคนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคนปกติ คนพิการ เด็ก หรือผู้สูงอายุ ซึ่งสามาถขยายความได้ดังนี้
หลักการที่ 2 : ความยืดหยุ่นในการใช้งาน (Flexibility in Use
)
การออกแบบและเลือกใช้วัสดุต่างๆ ภายในบ้านต้องรองรับความต้องการและสมรรถภาพของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันโดยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคนได้
หลักการที่ 3 : ไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย (Simple and Intuitive Use
)
การออกแบบนั้นต้องง่ายต่อการเข้าใจโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ ความรู้ทักษะทางภาษาหรือต้องพยายามมากขณะใช้งาน
หลักการที่ 4 : ข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย (Perceptible Information )
หลักการที่ 5 : ลดความผิดพลาด (Tolerance for Error
)
การออกแบบช่วยลดอันตรายและผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์จากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
หลักการที่ 6 : ไม่ต้องออกแรงมาก (Low Physical Effort
)
การออกแบบสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องออกแรงมาก มีความเหนื่อยล้าน้อยที่สุด
บางบ้านใช้ประตูกระจกบานเฟี้ยมหรือบานเลื่อนที่ใหญ่และหนักมาก ซึ่งผู้หญิงและคนแก่อาจไม่สามารถเปิดหรือปิดเองได้เพราะต้องออกแรงมากจนอาจเกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้
หลักการที่ 7 : ขนาดและพื้นที่ในการเข้าไปใช้งาน (Size and Space for Approach and Use
)
พื้นที่การใช้งานต่างๆ ควรมีขนาดและพื้นที่ที่เหมาะสม เพียงพอสำหรับการเข้าถึง การจัดการและการใช้งานต้องคำนึงถึงขนาดร่างกาย ท่าทางหรือการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ เช่น พื้นที่ในครัว พื้นที่ระหว่างส่วนเตรียมอาหาร เตาหรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตู้เย็น ควรมีพื้นที่เพียงพอที่จะสามารถหมุนตัว โดยเฉพาะในขณะที่มีของ เช่น มีถาดอาหารในมือ หรือกว้างพอที่คนสองคนสามารถเดินสวนกันได้สะดวก
บางบ้านมีบันไดที่แคบมากจนไม่สามารถขนของที่มีขนาดใหญ่เช่นที่นอน ก่อนออกแบบต้องแน่ใจว่าทุกส่วนมีพื้นที่ว่างเพียงพอสำหรับขนของ และพอสำหรับผู้ที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยหรือมีคนช่วยระหว่างใช้งาน เช่น ผู้สูงอายุที่ต้องมีคนช่วยพยุง ใช้ไม้เท้า หรือผู้พิการที่ต้องใช้วีลแชร์
จะเห็นว่าหลัก Universal Design จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่เราทราบอยู่แล้ว แต่บางครั้งละเลยหรือคิดไม่รอบคอบพอ ในกรณีปรับปรุงบ้านเดิมเทคนิคทั้งหมดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทีละส่วนได้แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ถ้าเป็นการสร้างบ้านขึ้นใหม่ทั้งหลังก็สามารถใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการสร้างบ้านให้สะดวกสบายสำหรับทุกคนตั้งแต่เริ่มต้น
อ้างอิง
https://www.udll.com/media-room/articles/the-seven-principles-of-universal-design/