“แอร์รถไม่เย็น มีแต่ลม” สาเหตุ และวิธีแก้อย่างไร ให้กลับมาเย็นสบาย

เมืองร้อนอย่างบ้านเรา แอร์รถยนต์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีแอร์ หรือแอร์รถยนต์ ไม่เย็น หลายคนคงไม่อยากจะไปไหนมาไหน ยกเว้นผู้ที่อยู่ในภาวะจำยอมอย่างเช่นการเดินทางด้วยรถเมล์ร้อน หรือผู้ขับรถบรรทุกบางคันเท่านั้น


แอร์ เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่น้อย รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายรายทางในการบำรุงรักษา ถ้าเราใช้งานดูแลอย่างถูกวิธีก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก แถมช่วยยืดอายุการใช้งานได้อีกยาวนาน และไม่ต้องเสียเวลารอการซ่อมหรือต้องหาวิธีเดินทางอื่นๆ แทนในช่วงที่รถยังจอดค้างเติ่งอยู่ที่ร้านแอร์  นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่หลายคนอาจ นึกไม่ถึงซึ่งก็คือ เรื่องของสุขภาพอนามัยของผู้ที่อยู่ในห้องโดยสาร


ไม่ต้องรีบเปิดแอร์รถยนต์      

หลักการใช้งานแอร์รถยนต์ ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่ควรปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลดี ปลอดภัยต่อทั้งระบบแอร์รถยนต์ คน และระบบอื่นๆ ของรถ


เริ่มกันที่เมื่อจะใช้งานรถยนต์ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรจะปิดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ด้วยการปิดสวิทช์ A/C เพื่อไม่ให้ไปดึงกำลังไฟที่กำลังส่งไปยังไดสตาร์ท หรือกำลังของเครื่องยนต์ขณะสตาร์ท  เมื่อสตาร์ทเครื่องแล้ว ให้เปิดพัดลมในระดับความแรงสูงสุด ไล่ความร้อนในระบบแอร์ออกไปก่อนสักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยเปิดสวิทช์ A/C เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน และปรับความแรงลมตามที่ต้องการต่อไป


กรณีที่จอดรถกลางแดด หรือ ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด ก่อนสตาร์ทรถ ควรเปิดกระจกทุกบาน หรือเปิดประตูสักระยะ เพื่อให้ความร้อนที่สะสมภายในห้องโดยสารลดลง แล้วจึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์ วิธีนี้นอกจากแบ่งเบาภาระของแอร์รถยนต์แล้ว ยังเพิ่มความปลอดภัย เพราะอากาศที่ร้อนจัดๆ อาจทำให้สารเคมีที่มีอยู่ทั่วไปตามชิ้นส่วนต่างๆ ในรถระเหยขึ้นมาปะปนกับอากาศในห้องโดยสารได้  หากเป็นไปได้ ควรขับรถออกไปโดยที่ยังเปิดกระจกสักสองสามนาทีเพื่อให้ลมมีการเคลื่อนตัวทำให้ระบายความร้อน และสารเคมีต่างๆ ออกไปได้ดีขึ้น เร็วขึ้น 

ปิดคอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ก่อนถึงจุดหมาย

ทุกครั้งของการเดินทางเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ควรจะปิดสวิทช์A/C พร้อมกับปรับพัดลมให้มีความเร็วสูงสุดเพื่อไล่ความเย็นสะสมที่คอยล์เย็นออกมาให้หมด ซึ่งความเย็นที่ค้างอยู่จะเพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกเย็นพอก่อนจะจอดรถและดับเครื่องยนต์


ทั้งนี้หากปิด A/C พร้อมดับเครื่องยนต์ ช่วงเวลานั้นคอยล์เย็นยังสะสมความเย็นอยู่ และเมื่อไม่มีการระบายออกไปด้วยพัดลม จะทำให้เกิดหยดน้ำสะสมอยู่ในระบบ กลายเป็นความชื้น ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเหม็นอับ และเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้   


และเมื่อรถไม่มีกลิ่นเหม็นอับ ก็ไม่ต้องไปหาสารระเหยหอมมาใช้ในรถยนต์ ซึ่งเป็นการช่วยยืดอายุของแอร์ และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ด้วย


ทั้งนี้เพราะว่าสารระเหยหอมต่างๆ ที่นิยมใช้กันเหล่านี้ จะเข้าไปเกาะอยู่ในระบบ ทำให้แอร์เกิดการอุดตันเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็นได้ง่าย ยิ่งมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม จะทำให้เกิดการกัดกร่อนตู้แอร์ด้วย แต่ถ้าใครต้องการเพิ่มกลิ่นหอมจริงๆ แนะนำให้ใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ใบไม้ จะดีกว่า


อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดการอุดตันของตู้แอร์ ก็คือ พยายามอย่าเปิดกระจกรถบ่อยๆ แม้จะรู้สึกว่าอากาศเย็นสบายก็ตาม เนื่องจากบ้านเรามีปัญหาฝุ่นละอองมาก จะทำให้ฝุ่นละอองเหล่านี้เข้าไปทำให้เกิดปัญหาตู้แอร์สกปรก อุดตันได้ จึงควรเปิดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เช่น การไล่ความร้อนออกจากรถ ยกเว้นถ้ามั่นใจว่าอากาศในพื้นที่นั้นสะอาดจริงๆ


รักษาสมดุลอากาศภายใน-ภายนอก

ช่วงปลายๆ ปีที่อากาศเย็นสบาย หรือบางพื้นที่ที่อากาศหนาวเย็น ผู้ใช้รถมักเจอปัญหาอย่างหนึ่ง คือ กระจกรถเป็นฝ้าบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะอุณหภูมิภายในกับภายนอกไม่สมดุลกัน มีความต่างกันมากเกินไป ทำให้เกิดไอน้ำเกาะกระจกภายในห้องโดยสาร


ปัญหาหลักๆ เป็นเพราะเมื่ออากาศภายนอกหนาวเย็น ผู้ใช้รถมักจะเบาแอร์ในรถ เลือกอุณหภูมิสูงขึ้น เพราะรู้สึกหนาวเกินไป


ดังนั้นทางออกคือ ควรเพิ่มความเย็นของแอร์รถยนต์ในห้องโดยสาร ให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกให้มากที่สุด เพราะฝ้านั้นเกิดจาก อุณหภูมิที่ต่างกันเกินไป ถ้าภายในเย็นกว่าภายนอกมาก ก็จะเกิดฝ้าที่กระจกด้านนอก ซึ่งอาจจะเห็นได้ เช่น เมื่อเป่าแอร์ขึ้นกระจกหน้ารถ หรือการปรับทิศทางแอร์ไปเป่ากระจกหน้าต่าง วิธีแก้สำหรับกระจกหน้าก็คือ ฉีดน้ำหรือเปิดที่ปัดน้ำฝนทำความสะอาด


แต่ถ้าอากาศภายนอกเย็นกว่าภายในมาก จะทำให้เกิดฝ้าภายใน ดังนั้นการเพิ่มอุณหภูมิของแอร์ เมื่อรู้สึกหนาว จึงทำให้เกิดฝ้าได้ ทางแก้ก็คือ เอาผ้าไปเช็ด ดังนั้นการลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร จึงเป็นทางแก้ที่เหมาะสม จะลดทั้งห้องโดยสาร หรือลดเฉพาะส่วนด้วยการการปรับทิศทางลมแอร์ให้เป่าไปที่กระจกเพื่อเพิ่มความเย็น แต่บริเวณที่ไม่โดนลมแอร์ ก็ยังคงมีฝ้า รวมถึงกระจกหน้าต่างและกระจกหลัง


แต่ถ้ารถคันไหนมีระบบไล่ฝ้า ก็ช่วยได้ แต่รถส่วนใหญ่จะติดตั้งระบบนี้เฉพาะกระจกหลังเท่านั้น เพราะการติดตั้งที่กระจกบังลมหน้า มีต้นทุนสูง


เรื่องความต่างของอากาศทำให้เกิดฝ้าที่เป็นตัวอย่างที่ดี เช่น เมื่อโดยสารด้วยรถไฟฟ้า บีทีเอส ที่อากาศเย็น และเมื่อออกจากตู้โดยสารมาเจอกับอากาศที่อุ่นกว่า หลายคนอาจเจอปัญหาแว่นตาเป็นฝ้า มองอะไรแทบไม่เห็น หรือแม้แต่อยู่ในห้องแอร์ที่เย็นๆ พอออกนอกห้อง ก็เจอปัญหาเช่นกัน

ปิดแอร์รถยนต์เมื่อขับรถลุยน้ำ

อีกสิ่งที่คงเคยได้ยินคำบอกเล่ากันมาเกี่ยวกับการใช้แอร์คือ หากขับรถลุยน้ำให้ปิดแอร์ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายของระบบแอร์และเครื่องยนต์ที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็น


ทั้งนี้เป็นเพราะระบบแอร์รถยนต์จะมีตัวถ่ายเทความร้อนจากคอมเพรสเซอร์ ที่เรียกว่า คอนเดนเซอร์ ติดอยู่ด้านหน้าของเครื่องยนต์ โดยมีพัดลมติดตั้งเอาไว้สำหรับระบายความร้อนออกจากคอนเดนเซอร์อีกที ซึ่งพัดลมนี้จะไม่ทำงานหากไม่มีความร้อนในคอนเดนเซอร์ให้ต้องระบาย


แต่ถ้าหากว่าขับรถลุยน้ำที่ระดับน้ำสูงขึ้นมาถึงพัดลม แล้วเปิดแอร์ปกติ เมื่อเกิดความร้อนจากคอมเพรสเซอร์ ถ่ายทอดไปที่คอนเดนเซอร์ พัดลมก็จะทำงานทันทีเพื่อระบายความร้อนให้กับคอนเดนเซอร์ ทำให้มีโอกาสที่พัดลมจะหมุนไปตีกับน้ำ หรือเศษวัสดุต่างๆ ที่ลอยมากับน้ำ จนแตกหักเสียหายได้ นอกจากนี้น้ำที่ถูกตีจนกระเซ็นไปทั่วห้องเครื่อง จะทำให้เกิดความชื้น เกิดความเสียหาย และเครื่องยนต์ดับกลางทางเอาได้ง่ายๆ


และถึงแม้ว่าระดับน้ำอาจจะสูงไม่ถึงตำแหน่งพัดลม ก็ต้องระมัดระวัง หรือทางที่ดีก็ควรปิดแอร์รถยนต์ เพราะอย่าลืมว่า รถเราเอง และรถคันอื่นๆ บนท้องถนน จะทำให้น้ำเกิดเป็นคลื่น ที่อาจจะสูงขึ้นมาถึงระดับพัดลมได้เช่นกัน


การดูแลรักษาระบบแอร์รถยนต์

บทความนี้ไม่ได้รวมถึงการซ่อมบำรุงเพราะส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถไม่ได้ทำเอง เมื่อเกิดปัญหาควรให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการแก้ไขมากกว่า แต่สิ่งที่ผู้ใช้รถควรปฏิบัติคือ การใช้งานแอร์รถยนต์อย่างถูกวิธีดังที่พูดถึงไปแล้วในตอนต้น และ หมั่นสังเกตความผิดปกติ เช่น ความเย็นลดลง มีกลิ่น หรือมีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ หากพบปัญหาจะได้นำรถไปให้ช่างดูแลให้เร็วที่สุดป้องกันการเสียหายที่อาจจะลุกลาม


หรือถ้าแอร์รถยนต์ไม่เย็น มีแต่ลมออกมา ไม่มีความเย็น ควรจะปิดแอร์ไม่ฝืนใช้งาน แล้วรีบนำไปให้ช่างแก้ไขเพราะหากยังเปิดระบบต่อไป อาจะทำให้อุปกรณ์บางอย่างเสียหายได้


ส่วนคำถามที่หลายคนมักจะถามกันก็คือ ควรล้างตู้แอร์หรือไม่ ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าแอร์ยังเย็น และไม่มีกลิ่นเหม็น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องล้าง


แต่ถ้าใครต้องการความสบายใจ ก็อาจจะล้างสักปีละครั้ง หรือ 2 ปี ครั้งก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด


การใช้งานแอร์รถยนต์ที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ขอแค่เข้าใจในหลักการก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแอร์ได้ไปอีกยาวนาน