ลงทุนตราสารหนี้ปี 2566 ผันผวนแผ่ว…ผลตอบแทนเพิ่ม

ปี 2565 เป็นปีที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่เคยชินกับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำที่สุดติดต่อกันมาหลายปี อีกทั้งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยยังได้สร้างความผันผวนต่อพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ จากการตีราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลง (ส่งผลให้เกิดการขาดทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น) และแม้ว่าในครึ่งปีแรกของปี 2565 สถานการณ์โควิดจะยังไม่จบ และเกิดปัจจัยความไม่แน่นอนเพิ่มเติมจากความตึงเครียดของสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ตาม แต่ทิศทางการใช้นโยบายการเงินยังคงเข้มงวดขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาวะสงครามกดดันให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้เกิดความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันที่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากการเปิดประเทศและเงินเฟ้ออาจทรงตัวระดับสูงยาวนาน ทำให้อัตราผลตอบแทนทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ 

2115628247

อย่างไรก็ตาม เรามองว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุด และเริ่มส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มชะลอตัวลง รวมถึงเริ่มมีการคาดการณ์และกังวลต่อสัญญาณที่แสดงถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก จากต้นทุนพลังงาน ราคาอาหาร และต้นทุนการเงินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตลาดมีความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งอาจส่งผลให้มีการทบทวนพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าก็เป็นได้ โดยปัจจัยดังกล่าวจะเป็นผลบวกต่อตลาดตราสารหนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 โดยอัตราผลตอบของพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกจะเริ่มผ่อนคลายและผันผวนลดลง และอาจไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นไปสูงกว่าระดับปัจจุบัน  


สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากกว่าการจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นจากฝั่งอุปทาน เนื่องจากโครงสร้างและความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่มีความแตกต่างจากหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวและกิจกรรมเศรษฐกิจที่กลับมาดีขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ คาดว่าจะปรับจากระดับ 0.5% ต้นปี ไปอยู่ที่ 1.25% ในช่วงสิ้นปี 2565 และมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 หากอัตราเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ระดับสูง โดยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 1.75-2.0%  


ทั้งนี้ ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นจนสะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตล่วงหน้าตามตลาดต่างประเทศแล้ว โดยปีนี้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ เพิ่มจาก 0.25% มาอยู่ที่ 4.0% ในปัจจุบัน และอาจปรับขึ้นไปที่ 5% ในปี 2565 จะเห็นว่าช่วงของการปรับเพิ่มของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกจะไม่มากเท่าปี 2565 โดยเรามองว่าในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับลดลง อัตราดอกเบี้ยผ่านการทำจุดสูงสุดแล้ว จึงมีแนวโน้มทรงตัวหรืออาจปรับลงได้บ้างจากความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  

 

จึงเชื่อว่าปี 2566 จะเป็นโอกาสดีสำหรับการเข้าลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงจังหวะที่ได้ผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่อยู่ระดับต่ำในหลายปีที่ผ่านมา และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในปี 2566 แม้ว่าจะยังมีความผันผวน แต่จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ไม่ได้ปรับเพิ่มรุนแรงจนทำให้เกิดผลกระทบจากการตีราคาตลาด ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้คาดจะไม่เกิดผลตอบแทนติดลบเหมือนเช่นในปี 2565


ข้อมูล ณ วันที่  16 พฤศจิกายน 2565 


บทความโดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด


ที่มา : The Standard Wealth