เทคโนโลยี AI กับการลงทุนในกองทุนรวม

ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของเรารวมถึงแวดวงธุรกิจไปอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ สกุลเงินดิจิทัลที่เริ่มถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูงที่เข้ามาช่วยปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้หลายๆ ธุรกิจต่างก็ปรับตัวกันเพื่อความอยู่รอด มีการทบทวนกันมากขึ้นว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป และมันจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตเราอย่างไร ในส่วนของการลงทุนเองก็เช่นกัน ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้กันแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์

AI คือ ชุดของโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นให้มีความฉลาด สามารถวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้เองเหมือนเช่นมนุษย์ อีกทั้งยังทำได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วกว่า และส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาได้นั้นก็คือการสร้างระบบโปรแกรมที่สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองให้มีความถูกต้องแม่นยำขึ้นได้ ดังเช่นมนุษย์ที่เมื่อผ่านประสบการณ์มากขึ้นก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ (Machine Learning) ซึ่งช่วยลดงานของมนุษย์ไปได้มาก

สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ และได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยค้นหาคำหรือรูปภาพที่แม่นยำในเว็บไซต์ Search Engine, ช่วยจอดรถในช่องจอดอัตโนมัติในรถยนต์บางรุ่น หรือเทคโนโลยีที่ช่วยแยกแยะและจดจำใบหน้าของเราบน Facebook

ส่วนในแวดวงการเงินการลงทุนนั้น AI และ Machine Learning ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มธุรกิจที่ท้าทายที่สุดกลุ่มหนึ่งสำหรับเทคโนโลยีนี้เลยก็ว่าได้

ai-world

โดยแต่เดิมนั้นการลงทุนในกองทุนต่างๆ ประมาณ 10% ของกองทุนทั้งหมดในสหรัฐฯ ก็ใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Quantitative Fund อยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไปในโปรแกรมนั้นมีตั้งแต่ข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐาน ข้อมูลเชิงตัวเลข ไปจนถึงข้อมูลทางสถิติต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน แต่การใช้ Quantitative Model นั้นตั้งอยู่บนแนวคิดการตัดสินใจโดยใช้หลักเกณฑ์ที่ตายตัวที่ผู้สร้างได้เขียนขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่แม่นยำเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จนผู้สร้างต้องมาคอยปรับปรุงตัวโปรแกรมอยู่เป็นประจำ ปัญญาประดิษฐ์จึงเข้ามาช่วยพัฒนาตรงจุดนี้ นอกจากมันจะสามารถใช้ความหลากหลายของข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจแล้ว มันยังปรับปรุงและพัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย

สำหรับแนวคิดแบบ Quantitative Model นั้น คือการกำหนดให้โปรแกรมทำตามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้อย่างตรงไปตรงมา แตกต่างจาก AI ที่เปิดโอกาสให้โปรแกรมสามารถดัดแปลงไปตามสถานการ์ณต่างๆ ได้ ตามข้อมูลอันมหึมา (Big Data) ที่ได้รับ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการทำงานของระบบประสาทของมนุษย์ โดยหวังว่ามันจะสามารถหารูปแบบหรือจุดเชื่อมโยงอย่างใดอย่างหนึ่งที่มนุษย์อย่างเรายากจะมองเห็นได้ มาใช้ในการพยากรณ์ผลลัพธ์ของราคาหุ้นหรือดัชนีและตัดสินใจลงทุน โดยในปัจจุบันมีหลายกองทุนในต่างประเทศที่ใช้ AI ในการบริหารอย่างเต็มตัว และสามารถทำผลงานได้ดี โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอ

ส่วนในประเทศไทยของเรานั้นยังถือว่าค่อนข้างใหม่ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการทำความเข้าใจของบุคคลทั่วไป ในส่วนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็ได้นำเสนอกองทุนที่ใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในการลงทุน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุนที่สนใจ แต่การลงทุนในทุกประเภทก็มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนด้วยนะครับ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนที่ใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในการลงทุน โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้นำเสนอกองทุนเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Machine Learning Thai Equity (SCBMLT) ลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 40-60 ตัว โดยกระบวนการการลงทุนมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 เลือกพิจารณาปัจจัยการลงทุนตามความสามารถในการสร้างผลตอบแทน ขั้นตอนที่ 2 ระบบ AI จะวิเคราะห์ข้อมูล เหตุการณ์ และรูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดในอดีตเพื่อระบุ แยกแยะ และจัดอันดับการให้น้ำหนักการลงทุนในแต่ละปัจจัยการลงทุนตามความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด (Alpha) และขั้นตอนที่ 3 นำปัจจัยการลงทุนที่ได้รับการจัดอันดับจากระบบปัญญาประดิษฐ์แล้วมาเข้าระบบ Optimizer เพื่อให้ได้สัดส่วนการลงทุนที่มีความสมดุลระหว่างผลตอบแทน ความเสี่ยง และต้นทุนการลงทุน

และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Machine Learning China All Share (SCBMLCA) เน้นลงทุนในหุ้นที่ออกโดยบริษัทสัญชาติจีน ใน 3 ตลาดสำคัญของประเทศจีน ได้แก่

1. ตลาด A-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น เน้นลงทุนในธุรกิจการบริโภคอุปโภคภายในประเทศ 2. ตลาด H-share ตลาดหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันและลงทุนระยะยาว เช่น Alibaba, Meituan และ Tencent เป็นต้น และ 3. ตลาด ADR คือบริษัทที่ประกอบธุรกิจในจีน แต่จดทะเบียนซื้อขายในสหรัฐฯ โดยกองทุนจะลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์และหยวน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามความเหมาะสมสำหรับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ได้ที่ SCBAM Call Center โทร. 0 2777 7777 กด 0 กด 6 หรือผู้สนับสนุนการขายทุกราย

บทความโดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

*ข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2564

ขอบคุณข้อมูลจาก The Standard Wealth