ปลุกพลังบวกด้วย “ฟา” พาองค์กรฝ่าวิกฤต

วิกฤต COVID-19  ที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แล้วลุกลามไปทั้งโลก ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจจำนวนมากตกอยู่ในความมืดมิด บางธุรกิจต้องล้มทั้งยืน ทุกคนต่างดิ้นรนหาทางต่อสู้เพื่อให้ยืนหยัดต่อไปได้ การสร้างพลังบวกให้แก่กัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทุกคน ทุกองค์กร จับมือ ร่วมแก้ปัญหา และฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ดร. วรภัทร ภู่เจริญ หนึ่งในคนไทยที่เคยทำงานที่นาซ่า อดีตอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรชั้นนำหลายแห่งในประเทศ ได้มาเล่าถึง แนวทาง “ฟา” (Facilitator) ในการสร้างกระบวนการคิด ทัศนคติ และแรงบันดาลใจ ทั้งในแง่การพัฒนาตนเอง และสรรค์สร้างองค์กรให้เติบกล้า

การสร้างพลังบวกสำคัญอย่างไร?

ในวิกฤตที่หลายคนรู้สึกมืดมิด ไร้ทางออก สิ่งสำคัญคือต้องตั้งสติ สร้างพลังบวก ซึ่งจะทำให้สมองหลั่งสารเคมีที่เรียกว่าโดส หรือ โดพามีน (Dopamine) ซึ่ง ในทางการแพทย์ได้วิจัยว่าสารนี้มีหน้าที่สร้างบุคลิกของผู้คนให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำให้สมองตัดเรื่องลบหรือแง่ร้ายออกไปได้ เมื่อสมองคิดดี มีพลังบวก ปัญญาก็มา ซึ่งจะทำให้เรามีไอเดียดีๆ ได้ลงมือทำ ถึงแม้อาจจะเกิดความผิดพลาด แต่ก็เหมือนเป็นครูสอนให้เราได้เรียนรู้ เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น


ในภาวะแบบนี้เราต้องช่วยกัน ร่วมมือกันเหมือนสำนวนที่ว่า “จุดตะเกียง ดีกว่าด่าความมืด” ถ้าเราคิดได้ก่อน ได้ลองก่อน ก็เหมือนได้เรียนรู้ก่อน และเดินหน้าได้ก่อนคนอื่น หากมีความคิดที่อยู่ในหัว เช่น ทำไม่ได้ ไม่ว่าง ไม่รวย ไม่มีเงิน ซึ่งคำพูดพวกนี้เปรียบเหมือนคนพาลในใจเรา เป็นตัวปิดกั้นความสำเร็จ ต้องขจัดออกไป แล้วมุ่งมั่นฝึกจิต ฝึกตัว เพื่อให้ก้าวผ่านวิกฤตนี้ให้ได้

facilitator-1539974774

“ฟา” คืออะไร

ปัญหาหนึ่งขององค์กรคือการขัดแย้งกันในห้องประชุม หรือ ประชุมแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่ออก หาข้อสรุปไม่ได้ ซึ่ง “ฟา” มาจาก Facilitator คือคนที่เชื่อมความเห็นต่างของทุกกลุ่มเข้าไว้ด้วยกัน เป็นคนประสาน เให้ทุกคนคุยกันรู้เรื่อง และผลักดันไปสู่เป้าหมายเดียวกัน


“ฟา” ต้องเป็นบุคคลลึกลับ ที่ไม่เปิดเผยตัว แต่คอยใช้จิตวิทยาเชิงบวกทำให้ทุกคนเปิดใจ และช่วยกลั่นกรองสิ่งต่างๆ  ออกจากสมอง สงวนจุดต่าง แสวงหาจุดเชื่อม ให้คุยกันรู้เรื่องและคุมเกมให้อยู่ในร่องรอย ทั้งนี้ เทคนิคฟา สามารถใช้ได้กับทุกที่ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือการทำงานร่วมกันในชุมชน ก็สามารถใช้ “ฟา” ลดความขัดแย้ง ทลายกำแพง และสร้างสะพานเชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน เพื่อนำพาไปสู่ให้สู่เป้าหมายได้เป็นอย่างดี

“ฟา” สร้างพลังบวกได้อย่างไร?

“ฟา” จะมีทักษะพิเศษ ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในการ ชม ฟัง ถาม สะท้อน สรุป ใช้ทักษะ Deliberate Practice ที่ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรม อาจหลอกให้ทำทีละนิด โดยที่คนๆ นั้นไม่รู้ตัว เป็นการเรียนรู้แบบ Action learning (การเรียนรู้จากการลงมือทำ) และเสร้างความมั่นใจ ว่าทุกคนทำได้


คำชม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ “ฟา” ซึ่งการชมที่ดีนั้น จะไม่เจาะจงที่ผลลัพธ์ เช่น เก่ง สวย ดี เพราะเป็นการชมแบบ Fixed Mindset ผู้ที่ได้รับคำชมเช่นนี้ ก็อาจจะเข้าใจว่าตนนั้นดีอยู่แล้ว และหยุดพัฒนาตนในที่สุด  แต่การชมที่แนะนำนั้น ควรชมที่พฤติกรรม  เช่น มีความขยัน ตั้งใจ  เรียกว่าเป็นการชมที่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ให้เห็นคุณค่าของการกระทำ ส่งผลให้คนจำพฤติกรรมนี้และทำต่อไป และในการชมขั้นสูงสุดคือการชมที่ทักษะ เช่น จับประเด็นได้เก่ง โน้มน้าวใจได้ดี เป็นต้น ทั้งนี้ทุกองค์กรสามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีความสุขได้ โดยเริ่มต้นจากการชมกันวันละนิด ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีความสุข และเกิดความคิดสร้างสรรค์


การสะท้อน เป็นสิ่งที่ทำให้คนๆ นั้นเห็นตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งการสะท้อนควรเริ่มต้นจากการมองหาจุดเด่น อย่าไปขยี้จุดด้อย เพราะการสะท้อนแบบนี้จะทำให้คนพัฒนาต่อไป และลบจุดด้อยลองได้ เช่น ต้องพูดให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตาม แต่ถ้ารู้สึกไม่เห้นด้วยอาจหาบุคคลที่สามมาถามกลับไปว่า ถ้ามีคนมาถามต่อแบบนี้ จะตอบอย่างไร การฝึกแบบนี้ทำให้เกิดการกลับไปทบทวน และแก้ไขได้ด้วยตัวเอง

ปลุกพลัง “ฟา” ในตัวเราได้อย่างไร?

เนื่องจากฟามีหลายประเภท เช่น Family Fa เป็นการสอนโดยไม่ให้รู้ตัวว่าถูกสอน ถ้าเอาไปใช้สอนเด็ก อาจต้องแกล้งไม่รู้ ลองสลับบทบาทให้เด็กสอนบ้าง และที่สำคัญต้องทำให้เด็กรู้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ ทุกคนผิดพลาด ล้มเหลวได้ แต่ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพื่อเดินต่อไป


ในการปลุกพลัง “ฟา”  ต้องฝึกทักษะต่างๆ เช่น

  • ชม ฟัง ถาม สะท้อน สรุป
  • ทักษะความเป็นโค้ช
  • Action Learning การเรียนรู้จากการลงมือทำ หลอกให้ทำทีละนิด แบบไม่รู้ตัว
  • การใช้ Dialog ล้อมวงคุย สร้างพลังบวก เพื่อให้เกิดเกลียวความรู้
  • Learning Management


ทั้งนี้ทักษะต่างๆ ดังที่กล่าวมาอาจต้องฝึกฝนเป็นพิเศษ โดยถ้าอยากเป็น “ฟา” จะต้องได้รับการอบรมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหลายๆ องค์กรในตอนนี้ มีการใช้ “ฟา” เป็นตัวประสานและช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับองค์กร

 

ข้อดีของการมี “ฟา” ต่อการพัฒนาองค์กรในยุค New Normal

  • ฟาสร้างสรรค์วิธีการจัดการเพื่อลดช่องว่างระหว่าง Gen
  • ฟาเชื่อมประสานใจของคนในองค์กรเข้าไว้ด้วยกัน โดยการให้ความรัก ก่อนให้ความรู้
  • ฟาทำให้เกิดความเข้าใจธรรมะ พรหมวิหาร 4  เพราะต้องมีทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้ประโยชน์ทั้งในเชิงบุคคลและสังคมที่สงบสุข

"SMEs สามารถนำฟามาใช้ได้อย่างไร?

สำหรับองค์กร SME ที่ประกอบธุรกิจใหม่ มีพนักงานไม่มาก ผู้บริหารควรเป็น “ฟา” เอง โดยที่สำคัญต้องคอยชม สร้างขวัญและกำลังใจ ออกแบบพื้นที่ให้ลูกน้องได้ลองทำ ลองล้มเหลว ให้เรียนรู้ ลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยละทิ้งความกลัว  เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ไปข้างหน้า


สรุป “ฟา” เป็นบุคคลสำคัญ ที่คอยเชื่อมประสาน เติมพลังบวก และดึงไอเดียดีๆ ออกจากทุกคน ทำให้องค์กรก้าวหน้าไปสู่จุดหมายเดียวกันได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญในยุค New Normal หลัง COVID-19 ทุกคนต้องร่วมกันสร้างพลังบวกให้แก่กัน ในองค์กรควรมีการสื่อสารเรื่องดีกันบ่อยขึ้น ให้กำลังใจกันมากขึ้น ไม่ดูถูกความสามารถกันและกัน เพื่อองค์กร และสังคมที่สร้างสรรค์


ที่มา :
SCB TV ตอน "Business Facilitator ใช้แนวทางฟามาสร้างพลังบวกให้องค์กร" วันที่ 25 พ.ค. 63

ดูย้อนหลังได้ที่ 》 https://www.facebook.com/scb.thailand/videos/2410166179282464