ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
เจาะโครงสร้างพื้นฐาน สร้าง Digital Healthcare
เมื่อโควิด-19 มาเยือน อาจทำให้หลายอย่างสะดุด แต่ไม่อาจหยุดโลกแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในช่วงที่วิถีชีวิตผู้คนต้องปรับเปลี่ยน และยังเป็นพระเอกหลักช่วยให้วงการแพทย์และการดูแลสุขภาพ ที่ได้รับผลกระทบจากความต้องการล้นหลาม ให้สามารถขยายบริการ Telemedicine เข้าถึงคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเดินทางไปพบแพทย์แบบตัวต่อตัวอย่างที่เราคุ้นเคย
Digitization ของวงการสุขภาพ
ระบบ Healthcare กับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกระบวนเปลี่ยนผ่านสู่ออฟไลน์เข้าสู่ระบบดิจิทัล (Digitization) เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายยุค 1960 ก่อนจะถูกเร่งเครื่องการเติบโตในทศวรรษที่ผ่านมา และยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคโควิด-19 ในรูปแบบของ Telemedicine หรือ Telehealth
เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้บุคลากรทางการแพทย์และแวดวงสุขภาพ ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก่คนไข้ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิต ในช่วงเวลาที่บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน และความแออัดในโรงพยาบาล เกิดขึ้นทั่วทุกแห่ง
เมื่อประกอบกับเทรนด์ประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้คน และผลกระทบต่อเนื่องจากโควิดที่ทำให้โรงพยาบาลต้องลดอัตราการรองรับผู้ป่วย ความต้องการ Telemedicine จึงเพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศต้องปรับนโยบาย มุ่งสู่ Digital Transformation เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Digital Maturity ที่แต่ละประเทศยังมีไม่เท่ากัน
แม้จะตระหนักดีถึงความจำเป็นของ Digital Transformation ในระบบส่งเสริมสุขภาพ ทว่าแต่ละประเทศยังมี Digital Maturity หรือความพร้อมในด้านดิจิทัลต่างกัน โดย World Economic Forum ประเมินอันดับของประเทศต่างๆ ภายใต้ 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่
- ปัจจัยริเริ่ม (Initiatives) :
ปัจจัยที่ส่งเสริม Digital Healthcare อาทิ นโยบายภาครัฐ, การให้ทุนสนับสนุน, สถาบันที่เกี่ยวข้อง
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures) :
การสร้างระบบพื้นฐานเทคโนโลยีสำหรับระบบเชื่อมต่อฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น National Heath Data
-
การปฏิบัติ (Implementation)
: ความสามารถของแต่ลประเทศในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการระบบสุขภาพได้จริงในเชิงปฏิบัติ อาทิ การนำ Telehealth, AI หรือ Virtual Studies มาใช้
ผลจากการศึกษา ปรากฎว่า ประเทศที่มีระดับ Digital Maturity สูง มักเป็นประเทศที่มีรายได้ประชากรต่อหัว (GDP per capita) ระดับสูง สะท้อนว่าประเทศที่ร่ำรวยจะมีอัตราความพร้อมด้านดิจิทัลมากกว่า เพราะมีพื้นฐานที่เอื้ออำนวย ทั้งในเชิงวัฒนธรรม, การเมือง, เศรษฐกิจ และกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ
ประเทศในกลุ่มผู้นำกระจุกตัวอยู่ในยุโรปตะวันตก ได้แก่ สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก สวีเดน และร่วมด้วย เอสโตเนีย จากยุโรปตะวันออก เพราะมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ มีการพัฒนาการแพทย์แบบจีโนมมิกส์ที่ล้ำหน้า หรือการใช้ฐานข้อมูลเวชระเบียนระดับประเทศมาป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ
ขณะที่ประเทศที่มีประชากรหนาแน่นในระดับรายได้ต่ำถึงปานกลาง ยังมีอุปสรรคขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้เท่าเทียมทั่วถึงในทุกกลุ่มประชากร อาทิ ความไม่พร้อมของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ขาดอัตราการเข้าถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ และไม่มีสถาบันสุขภาพที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีขับเคลื่อนมากเพียงพอ
ส่วนกลุ่มประเทศที่ระดับ Digital Maturity ในระบบสุขภาพต่ำนั้น ส่วนใหญ่พบปัญหาเดียวกันคือ ต่างก็วางนโยบาย Digital Healthcare ไว้แล้ว แต่ไม่อาจผลักดันโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องการเงินทุนสูง
ส่องปัจจัยประสบความสำเร็จ Digital Heathcare
ประเทศที่ประสบความสำเร็จในวางระบบ Digital Healthcare ที่มีความก้าวหน้าสูง มักจะมี “จุดร่วม” ที่คล้ายคลึงกันใน 8 เรื่อง ได้แก่
1. มีกลยุทธ์ดิจิทัลที่ชัดเจน และเป้าหมายแน่ชัดภายใต้กรอบเวลาที่ตั้งไว้
2. มีงบประมาณโปร่งใสเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของ Digital Healthcare
3. มีระบบการจัดการดาต้าที่ดี ป้องกันข้อมูลให้ปลอดภัย ภายใต้การจัดการเข้าถึงที่ยืดหยุ่นได้
4. มีฐานเวชระเบียนอิเลคโทรนิคส์ระดับประเทศจำนวนมหาศาล เชื่อมถึงกันโดยแพลตฟอร์มระดับประเทศที่มีประสิทธิภาพ
5. มีหน่วยงานกำกับดูแล ส่งเสริมมาตรฐาน และวางนโยบายที่เกื้อหนุน
6. มีระบบคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ ที่มั่นใจได้ว่าจัดเก็บและถูกส่งต่อภายใต้มาตรฐานทันสมัย
7. มีการลงทุนสร้างแหล่งข้อมูลใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตของฐานข้อมูลสุขภาพ
8. มีโครงการนำร่องที่ได้รับความร่วมมือจากรัฐและเอกชนด้วยกัน
แม้ว่าการพัฒนาเหล่านี้จะใช้เวลาและทุนมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่นั้นคุ้มค่า เพราะประเทศที่ประสบความสำเร็จ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี อาทิ AI, Personalised medicine (การดูแลสุขภาพจำเพาะบุคคล) และ Digital therapeutics (การบำบัดด้วยดิจิทัล) ซึ่งเป็นการใช้ซอฟต์แวร์มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยให้แม่นยำและประสิทธิภาพสูงขึ้น
แม้ว่าความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาระบบ Digital Heathcare ยังมีให้เห็น แต่ประเทศที่ตามหลังใช่ว่าจะเสียโอกาสเสมอไป เพราะการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอาจเกิดขึ้นได้ หากเรียนรู้จากตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยมีปัจจัยสำคัญอย่างภาครัฐ ที่ต้องเป็นผู้ริเริ่มปูทางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ผู้เล่นอย่างเอกชนช่วยขับเคลื่อนและยกระดับการบริการสุขภาพ โดยใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างสูงสุดต่อไป
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
https://www.weforum.org/agenda/2022/08/countries-achieve-digital-maturity-healthcare/
https://www.thecoverage.info/news/content/2945