ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
10 Chinese Beauty Trend จีนกับทศวรรษแห่งการปฏิวัติความสวย
เรื่อง: เอกศาสตร์ สรรพช่าง
Hi-Light:
ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงาน China Beauty Expo ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนที่ผ่านมา ห้าปีมานี้ผมเดินทางไปบ่อยมากจนเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในจีน คิดว่ามีแนวโน้มที่น่าสนใจและแน่นอนว่ามันจะกระทบกับธุรกิจในบ้านเรา เลยอยากเอามาแชร์ให้กับผู้อ่านที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามได้รู้ว่า จีนกำลังสวยวันสวยคืนและ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสวย
1
China Beauty Expo เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อแสดงสินค้าและนวัตกรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเครื่องมือเกี่ยวกับความสวยความงาม เครื่องสำอางและเทรนด์ธุรกิจ บริการใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมความงาม เป็นงานที่มีคนเข้ามาดูเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี อย่างที่รู้ว่าจีนทำได้ทุกอย่างแล้วแต่เงินที่คุณถือไปให้เขา ยกตัวอย่างเฉพาะงานนี้ปีที่แล้วมีคนมาออกบูธกว่า 3,017 บูธจาก 34 ประเทศ มีคนมาเดินงาน 412,000 คนจาก 80 ประเทศ เรียกเล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ก็ต้องจีนนี่แหละ
2
ตอนนี้หลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ผมคิดว่าจีนเริ่มมองตัวเองเป็นผู้เล่นระดับโลกที่ไปได้ไกลกว่าตลาดภายในประเทศ นโยบายเรื่องการส่งเสริมการค้าเสรีของรัฐบาลจีนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในจีน (แลกกับการเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมหาศาล) เริ่มออกดอกออกผล ทำให้จีนโตเร็วมากไม่เว้นแม้แต่ในธุรกิจที่ดูแสนสำอางที่สุด ตอนนี้ในจีนมีสมาคมการค้าที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องสำอางและความงามกว่า 50 หน่วยงาน (รวมถึงสำนักงานในฮ่องกงและไต้หวัน) มีการประกาศการจัดตั้ง Asian Brand Building Lab เมื่อปี 2015 เรียกว่าเป็นจุด Kick Off ของอุตสาหกรรมความสวยความงามของจีนว่าในอนาคตจีนน่าจะเอาจริงแบบทำเองใช้เองและส่งออกได้ด้วย ซึ่งแนวโน้มก็เป็นอย่างนั้นตามติดไปกับสินค้าเทคโนโลยีและของใช้ภายในบ้านก็เริ่มติดตลาดโลกแล้ว
3
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจให้ตัวเลขไว้ว่า ตลาดเอเชียเป็นตลาดเครื่องสำอางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกทั้งในแง่ของการบริโภคและอุปโภค เอาเฉพาะในจีนนะครับ สินค้าพวก Skin/Cosmetics market นี่โตกว่า 17% ในช่วงสิบปีมานี้โดยเฉพาะในตลาด Premiun Segment โตมากกว่า 20% ถือว่าสูงมาก ที่เป็นอย่างนี้มันก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน
4
เหตุผลสำคัญเลยคือจีน เป็นประเทศที่ยังมีสัดส่วนคนหนุ่มสาวอยู่สูง และในช่วงทศวรรษนี้ (ที่ผมกำลังแก่ลงเรื่อยๆ) จะเป็นทศวรรษแรกของคนจีนยุคมิลเลนเนี่ยลที่จะเข้าสู่ตลาดความสวยความงามอย่างเต็มตัว (ตามวัยของพวกเขา) ฉะนั้นตลาดเครื่องสำอางจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต่อจากนี้อีกมากเพราะมิลเลนเนียลที่เข้าสู่ตลาดแรงงานย่อมอยากสวยอยากหล่อเป็นธรรมดา คนกลุ่มนี้ทั้งประเทศจีนมีอยู่ประมาณ 415 ล้านคน ซึ่งถึงพร้อมด้วยเงินในกระเป๋า ภาระที่ยังไม่มีมากนักและที่น่ากลัวก็คือมีสมาร์ทโฟนราคาถูกให้ใช้ด้วย
5
ทำไมสมาร์ทโฟนถึงสำคัญ? อย่าลืมว่าจีนมี Alibaba มี Taobao มี WeChat มี Tmall ซึ่ง #เป็นทุกอย่างเพื่อคุณ มาก่อนเมืองไทยนานมาก เพราะสมาร์ทโฟนราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสเปกเครื่องที่ได้กับแบรนด์จากเกาหลีหรืออเมริกา ฉะนั้นคนซื้อของจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือกันทั้งนั้น อีคอมเมิร์ซจึงบูมมากในจีน เรียกว่าเครื่องสำอางพรีเมี่ยมแบรนด์ทั้งจากฝรั่งเศส อเมริกาหรือญี่ปุ่น เปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการในอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น Euromornitor บอกว่า Segment ของ Premium Brandมีโอกาสโตมากในประเทศจีนมากกว่า 10% ทุกปีต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีนี้ เนื่องจากค่านิยมของคนจีนที่มองว่าแบรนด์จากฝรั่งเศส อเมริกาหรือญี่ปุ่นเป็นทั้งตัวชี้วัดความสำเร็จและ “ช่วยให้สำเร็จ” ในเวลาเดียวกัน
6
มีความจำเพาะอย่างหนึ่งในตลาดจีนที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ผมไปเจอข้อมูลอันหนึ่งที่น่าสนใจมาก บอกว่าธุรกิจเครื่องสำอางและความงามในจีน ให้ความสำคัญกับตลาดผู้ชายอย่างมาก ปี 2017 การสำรวจโดย Euromornitor พบว่า 63% ของผู้ชายในประเทศจีนใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกคลีนซิ่งมิลค์ โลชั่นหรือเฟซครีม ปัจจัยสำคัญก็สืบเนื่องมาจาก ค่านิยมในการมีลูกของคนจีนในยุคก่อนหน้าที่ให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่า รวมถึงสัดส่วนของประชากรผู้ชายที่มีมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว มีผู้ชาย 7 คนใน 10 คน ของผู้ชายที่นี่ ยินดีจ่ายกับการดูแลตัวเองไม่น้อยกว่าผู้หญิงโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หาวโจว กวางโจว การผ่อนปรนเรื่อง “One-Child Policy” ทำให้สัดส่วนของประชากรเริ่มเปลี่ยน แต่ก็ยังไม่มากนัก แนวโน้มในอนาคตเมื่อเด็กตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ในปี 2050 จะมีผู้ชายอายุ 30 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้นอยู่ที่ราว 30% เรียกว่าธุรกิจความสวยความงามสำหรับผู้ชายจะยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่กว่าประเทศอื่นที่ Euromonitor สำรวจตลาดธุรกิจความสวยความงาม
7
ไม่ใช่แต่สินค้าสำหรับผู้ชายเท่านั้นที่ขายดี รูปแบบธุรกิจแบบค้าปลีกและขายตรงก็โตมาก ผมพบว่าการไปเดินงานครั้งนี้ เห็นได้เลยว่าธุรกิจแบบ MLM “ขายตรงเน้นรวย” ในจีนนี่โตมาก เพราะด้วยขนาดของประเทศที่ใหญ่ การเข้าถึงลูกค้าอย่างหนึ่งที่ทำได้สะดวกก็คือการสร้างเครือข่ายการขายนี่แหละ ส่วนเรื่องการให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก เช่น การตกแต่งร้าน การจัดร้าน โปรแกรมสนับสนุนเรื่องการขายของทั้งหน้าร้านและอีคอมเมิร์ซก็โตเช่นกัน ผู้ประกอบการในจีนให้ความสำคัญกับดีไซน์และประสบการณ์ในร้านมากขึ้นเพื่อแข่งกับออนไลน์ สังเกตได้เลยว่าแม้ประชากรจะมากแต่จีนก็เน้นเรื่องฮาร์ดแวร์ เรื่องเทคโนโลยีในร้านมากเช่นกัน
8
ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือ เห็นความเก่งของคนจีนในการทำแบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ผมนึกภาพถึงพัฒนาการของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งจีน ณ เวลานี้กำลังเจริญรอยตามเรียกว่าเป๊ะๆ แบรนด์จีนตอนนี้มีตั้งแต่ราคาแพงไปจนถึงราคาถูก ณ เวลานี้ยังทำเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศเป็นหลัก แต่เชื่อว่าไม่เกินทศวรรษนี้จีนจะต้องบุกตลาดต่างประเทศเป็นแน่แท้
9
ผลกระทบที่จะตามมาจากผู้ประกอบการ SME แบบที่ซื้อมาขายไป หรือสั่งทำเพื่อมาติดแบรนด์ของตัวเองอาจต้องมองหาแหล่งผลิตใหม่ๆ การผลิตแบบ OEM อาจมีทางเลือกน้อยลงหรือต่อรองได้ยากมากขึ้น อีกทั้งจีนก็พยายามยกระดับการผลิตสินค้า เพราะเริ่มเห็นผลกระทบหลายๆ อย่างตามมาจากการที่โตเร็วเกินไป เช่นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของแรงงาน
10
สรุปแนวโน้มที่เราจะเห็นได้สำหรับธุรกิจความสวยความงาม คือเราจะเห็นสินค้าของผู้ชายที่จะโตมากขึ้น เราจะเห็นสินค้าชิ้นที่เล็กลงหรือเป็นแบบใส่ซองมากขึ้นเพื่อปรับให้เหมาะกับที่อยู่อาศัยและสภาพเศรษฐกิจ เราจะเห็นสินค้าจีนที่ดู “ปลอดภัย” มากขึ้นเรื่อยๆ คนจีนเองก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติมากขึ้นนะครับ ส่วนคนไทยที่ค้าขายกับจีน เราอาจต้องลองมองหาคู่ค้าจากแหล่งอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือก หรือเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ไม่อีกทางก็ผลิตแบรนด์ของตัวเองให้ได้ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งอันนี้น่าจะยั่งยืนกว่า
เอาใจช่วยผู้ประกอบการทุกคนครับ
อ้างอิง