เปรียบเทียบบัตรแต่ละประเภท เมื่อเอาไปใช้ที่เมืองนอก

สำหรับผู้ที่มีแผนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ อาจจะมีคำถามว่าระหว่างบัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด จะใช้บัตรอะไรดี หาคำตอบได้จากบทความนี้


ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักบัตรแต่ละประเภทกันก่อน


บัตรเดบิต (Debit Card)

เป็นบัตรที่ธนาคารออกให้โดยผูกบัตรไว้กับบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตร ซึ่งสามารถใช้ในการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องเอทีเอ็ม ไม่ว่าจะเป็นการถอนเงิน โอนเงินต่างประเทศ สอบถามยอด และจ่ายค่าสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านบัตรเดบิตนี้ได้


ส่วนใหญ่แล้วบัตรเดบิตทำงานเหมือนเป็นบัตรเอทีเอ็ม แต่มีวิธีการใช้งานที่พิเศษเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง คือ สามารถใช้รูดเหมือนบัตรเครดิตได้ แต่แทนที่จะเป็นการใช้เครดิต จะเป็นการหักเงินคงเหลือจากในบัญชีที่ผูกอยู่กับบัตรเดบิตนั้นแทน

ข้อดีของบัตรเดบิต

  • สามารถเบิกถอนเงินสดของประเทศนั้นๆ ออกมาใช้ได้อย่างสะดวก ผ่านทางตู้เอทีเอ็ม สำหรับบัตรวีซ่าเดบิต คุณต้องมองหาตู้เอทีเอ็มที่มีโลโก้ VISA หรือ PLUS

  • สามารถรูดซื้อสินค้าได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ตราบเท่าที่คุณยังมีเงินในบัญชีของบัตรเดบิตใบนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหรือเป็นหนี้แบบบัตรเครดิต เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการใช้เงินสดในรูปแบบบัตร


ข้อเสียของบัตรเดบิต

  • การใช้จ่ายด้วยบัตรเดบิต เงินจะถูกตัดออกจากบัญชีของคุณทันที ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีมากเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ

  • หากมีข้อผิดพลาด เช่น สินค้าชำรุด หรือบริการไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ แล้วมีความต้องการจะยกเลิกการชำระเงิน จะทำได้ยากมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ยอดเงินที่ตัดไปแล้วกลับมา

  • การเบิกถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศจะมีค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง ดังนั้นกรุณาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคารผู้ออกบัตรของคุณก่อนที่จะใช้บัตรเดบิตในต่างประเทศ

  • มีการคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ เป็นเงินบาทในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

บัตรเครดิต (Credit Card)

คือ สินเชื่อบุคคลธรรมดาระยะสั้นที่ธนาคารจะให้วงเงินจำนวนหนึ่งตามที่ธนาคารกำหนด และคุณก็สามารถใช้สินเชื่อนั้นได้ทุกๆ เดือน เพื่อซื้อสินค้าและบริการต่างๆ โดยมีเงื่อนไขว่า คุณจะต้องจ่ายเงินที่ใช้จับจ่ายซื้อของเหล่านั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด (ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย) และต้องเสียดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมตามอัตราที่ธนาคารกำหนด หากคุณชำระเงินล่าช้ากว่าที่ธนาคารกำหนด หรือพูดง่ายๆ ธนาคารจ่ายให้ก่อน พอครบ 30 วัน คุณก็ต้องไปจ่ายคืนธนาคาร


ข้อดีของบัตรเครดิต

  • มีความปลอดภัยในการใช้จ่าย โดยเฉพาะกับสินค้าที่มีราคาแพง เพราะคุณไม่ต้องถือเงินสดเป็นจำนวนมาก

  • หากคุณต้องการยกเลิกค่าใช้จ่ายต่างๆ สามารถทำได้ง่ายกว่า โดยสามารถรับเครดิตกลับคืนเข้าบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน

  • สามารถสะสมแต้มผ่านการใช้จ่าย อีกทั้งสำหรับบัตรเครดิตบางใบ คุณจะได้แต้มพิเศษหากมีการใช้จ่ายที่ต่างประเทศ (รายละเอียดโปรโมชั่นต่างๆ ศึกษาเพิ่มเติมจากบัตรเครดิตของแต่ละธนาคาร)

ข้อเสียของบัตรเครดิต

  • มีการคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ เป็นเงินบาทในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

  • หากกดเงินสดผ่านบัตรเครดิต จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการกดเงินสด

  • หากผู้ถือบัตรใช้จ่ายไม่ระมัดระวัง หรือใช้จ่ายเกินตัว ไม่สามารถหารายได้มาใช้คืนตามกำหนดเวลา จะเสียดอกเบี้ยและเป็นหนี้สูงจนอาจเกิดปัญหาทางการเงินขึ้นได้


บัตรกดเงินสด

เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหนึ่ง ที่อยู่ในรูปแบบของบัตรเหมือนกับบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรกดเงินสดจะต้องกดเงินสดออกจากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น และไม่สามารถนำไปรูดซื้อสินค้าและบริการได้เหมือนกับบัตรเครดิต การคำนวณดอกเบี้ยของบัตรกดเงินสด ก็จะแตกต่างจากบัตรเครดิต โดยจะคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันทันที ไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย บัตรกดเงินสดสามารถใช้เป็นวงเงินสดหมุนเวียนได้ตลอด เมื่อชำระยอดเงินคืนเข้าไปในบัญชีบัตรกดเงินสดก็จะได้วงเงินคืนกลับมา


ข้อดีของบัตรกดเงินสด

  • ช่วยให้คุณกดเงินสดออกมาจากตู้เอทีเอ็มได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม โดยสามารถกดได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับวงเงินที่คุณได้รับอนุมัติ ต่างจากการกดเงินสดด้วยการใช้บัตรเครดิต ที่คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการกดเงินสด 3% (แต่อาจมีค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดที่ต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารกำหนด)

  • บัตรกดเงินสดนี้ถือเป็นวงเงินสดฉุกเฉิน ในกรณีที่คุณไม่มีเงินสดและไม่สามารถใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้

  • หากคุณไม่กดเงินสดออกมาจากบัตรกดเงินสด หนี้ของคุณก็จะไม่เกิดและไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปีเหมือนบัตรเครดิต จึงเหมาะสำหรับเอาไว้ใช้เป็นวงเงินในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

ข้อเสียของบัตรกดเงินสด

  • มีอัตราดอกเบี้ยที่สูง โดยมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 28% ต่อปี และยังคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันด้วย (ไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเหมือนบัตรเครดิต) ดังนั้นแม้ว่าคุณจะกดเงินสดออกมาเพียงแค่วันเดียวและชำระเงินเต็มจำนวน คุณก็จะยังคงต้องเสียดอกเบี้ยอยู่ดี

ประเภทของบัตร

ข้อดี

ข้อเสีย

บัตรเดบิต

  • สามารถเบิกถอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่มีโลโก้ VISA หรือ PLUS
  • รูดซื้อสินค้าไม่เสียค่าธรรมเนียมและไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหรือเป็นหนี้แบบบัตรเครดิต
  • เงินจะถูกตัดออกจากบัญชีทันที จึงต้องมีเงินคงเหลืออยู่ในบัญชีมากพอ
  • หากต้องการยกเลิกการชำระเงิน จะทำได้ยาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ยอดเงินที่ตัดไปแล้วกลับมา
  • มีค่าธรรมเนียมในการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มที่ต่างประเทศ
  • มีค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ เป็นเงินบาทในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

บัตรเครดิต

  • มีความปลอดภัยในการใช้จ่าย
  • หากต้องการยกเลิกการใช้จ่ายต่างๆ สามารถทำได้ง่ายกว่า โดยสามารถรับเครดิตกลับคืนเข้าบัญชีอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน
  • สามารถสะสมแต้มผ่านการใช้จ่ายและได้แต้มพิเศษหากมีการใช้จ่ายที่ต่างประเทศ ตามโปรโมชั่นของแต่ละบัตรเครดิต

  • มีค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ เป็นเงินบาทในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
  • หากกดเงินสดผ่านบัตรเครดิต จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการกดเงินสด
  • หากไม่สามารถจ่ายเงินคืนตามกำหนดเวลา จะเสียค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ยที่สูง อาจเกิดปัญหาทางการเงินได้

บัตรกดเงินสด

  • กดเงินสดออกมาจากตู้เอทีเอ็มได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (แต่อาจมีค่าธรรมเนียมในการกดเงินสดที่ต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารกำหนด)
  • ใช้เป็นวงเงินสดฉุกเฉิน ในกรณีที่ไม่มีเงินสดและไม่สามารถใช้บัตรเครดิตได้
  • หากไม่กดเงิน จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี
  • มีค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศ เป็นเงินบาทในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
  • มีอัตราดอกเบี้ยที่สูง โดยมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 28% ต่อปีและยังคิดดอกเบี้ยเป็นรายวันด้วย (ไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเหมือนบัตรเครดิต) ดังนั้นแม้ว่าคุณจะกดเงินสดออกมาเพียงแค่วันเดียวและชำระเงินเต็มจำนวน คุณก็จะยังคงต้องเสียดอกเบี้ยอยู่ดี

ตัวอย่างการคำนวณ

นายมั่งคั่ง ใช้บัตรเครดิตวีซ่า SCB เพื่อรูดซื้อของที่ประเทศอังกฤษเป็นเงินจำนวน 500 ปอนด์ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ดังนั้นเงินที่นายมั่งคั่งต้องจ่ายคืนให้บัตรเครดิต SCB จะสามารถคำนวณได้ดังนี้


  • แปลงค่าสกุลเงิน GBP เป็นสกุลเงิน USD ก่อน โดยดูจากตารางใน https://www.visa.co.th โดยเลือกดูอัตราแลกเปลี่ยน หรือ Exchange Rate ตามวันที่เราทำรายการ (14/8/62) โดย 1 USD = 0.831 GBP ดังนั้น 500 GBP = 500/0.831 = 602 USD

  • แปลงอัตราแลกเปลี่ยนจาก USD เป็น THB โดย 1 USD = 30.917 THB ดังนั้น 602 USD เท่ากับ 18,612 บาท

  • บัตรเครดิตวีซ่า SCB กำหนดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินอยู่ที่ ไม่เกิน 2.5% ดังนั้นนำ 18,612 บาทคูณกับ 2.5% เท่ากับ 465.30 บาท

  • ยอดเรียกเก็บจากการใช้บัตรเครดิตวีซ่า SCB 500 ปอนด์ จะถูกเรียกเก็บอยู่ที่ 18,612 + 465.30 = 19,077.30 บาท โดยประมาณ


จะเห็นว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรแต่ละแบบนั้น มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป หากคุณต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็ควรพิจารณาเลือกการใช้จ่ายที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ที่สำคัญเพื่อความรอบคอบ อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขของบัตรแต่ละใบให้ดีก่อนเดินทางไปต่างประเทศ จะดีที่สุด



บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร