ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
สังเกต 7 สัญญาณบ่งชี้คุณก่อหนี้เกินตัว!
ยกมือหน่อย ใครช้อปออนไลน์เพลินจนเกินยั้งบ้าง แม้จะสุขทุกครั้งที่ได้แกะกล่อง แต่โปรดระวังของแถมแสนทุกข์ มารูปก้อนหนี้ที่มาแบบไม่ตั้งใจ เพื่อสกัดกั้นการใช้จ่ายไม่ให้เถิดเทิงไปกว่านี้ ลองมาสังเกตตัวเองกันหน่อยว่า เริ่มแหย่ขาข้างหนึ่งสู่การเป็นหนี้เกินตัวแล้วหรือยัง
1. “ไร้เป้าหมายการใช้เงินคือตัวก่อการหนี้ชั้นดี” หากไม่เคยคำนวณรายได้กับรายจ่ายเมื่อหักล้างกัน ไม่เคยวางแผนเงินเหลือเก็บต่อเดือน ไม่เคยแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนว่าหมดไปกับอะไรบ้าง ถือเป็นการไร้เป้าหมายที่น่ากลัว เพราะเป็นการการกระตุกให้เรามีนิสัยพร้อมจ่ายเร็วแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง พอกพูนหนี้ทุกเดือนแบบไม่รู้ตัว
2.
“จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองมีหนี้เท่าไร”
แววไม่ไฉไลของการเริ่มผิดวินัยทางการเงินร้ายแรง หากไม่เคยสนใจหรือรับรู้ว่าภาระผูกพันต้องชำระตอนสิ้นเดือน ได้แต่รูดบัตรเครดิตจ่ายไปตามบิลที่เรียกเก็บเท่านั้น มารู้อีกทีก็สะดุ้งเฮือกชักหน้าไม่ถึงหลังเข้าแล้ว หรือเมื่อโดนทวงหนี้ทางข้อความ ทางโทรศัพท์ หรือใบแจ้งยอดในกล่องไปรษณีย์ ที่มาพร้อมยอดหนี้บีบหัวใจให้หล่นไปถึงตาตุ่ม
3.
"ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ฉุกเฉิน”
เงินในบัญชีเข้าเร็วแต่หมุนออกเร็วกว่าจนตัวเลขคงเหลือต่ำเตี้ย หากเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองหรือสมาชิกครอบครัว แล้วพบว่าไม่มีเงินสดเพียงพอจ่ายเงินค่ารักษา ต้องหันไปพึ่งบัตรเครดิต หรือโทรหยิบยืมจากคนอื่น ขอให้เห็นไฟสีแดงกระพริบเตือนเลยว่าเข้าขั้นวิกฤตแล้ว เพราะไร้สภาพคล่อง ต้องรีบแก้ไขวินัยทางการเงินด่วน
4. “ยอดหนี้แตะ 45%ของรายได้” ให้รวมหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนทั้งหมด เช่น ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าบัตรเครดิต หารด้วยรายได้ต่อเดือน แล้วคูณ 100 ถ้าออกมาเกิน 45% ของรายได้ เครดิตบูโรบอกเลยว่า นี่คือสัญญาณอันตราย เพราะเงินเกือบครึ่งที่ได้เทให้หนี้เก่าหมด โดยที่ยังไม่รวมค่าภาษี ค่าประกันสังคม เงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ต้องควักอีกราว 20% ต่อเดือน และค่าใช้จ่ายรายวันอีกต่างหาก แบบนี้มีความเสี่ยงต้องกู้เงินมาใช้หนี้อีกต่อ
5.
“ดินพอกหางหมู กู้หนี้ใหม่ผ่อนหนี้เก่า”
เพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่มีมากเกิน จนต้องไปหาเงินส่วนอื่นมาโปะหนี้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่กดบัตรเงินสด หมุนเงินจากบัตรเครดิต หรือเข้าตาจนถึงขั้นไปกู้หนี้นอกระบบ แต่ก็ชำระได้เพียงยอดขั้นต่ำ แถมต้องแลกกับดอกเบี้ยสูงปรี๊ด ถือเป็นการหมุนเงินในทางที่ผิด เพราะไม่สามารถชำระหนี้หมดทั้งก้อนได้ เงินต้นไม่ลด แถมดอกเบี้ยพอกพูนยังไปเรื่อยๆ เป็นปัญหาหนักในที่สุด
6.
“กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเป็นหนี้”
โดยเฉพาะคนใกล้ตัวในครอบครัวเดียวกัน แม้ปัจจุบันใบเรียกชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ จะพุ่งตรงเข้ามาในอีเมล์แล้ว แต่ยังมีความกังวลว่าคนที่บ้านจะรู้ หรือหากมีโทรศัพท์มาทวงหนี้ ก็จะเริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สัญญาณแบบนี้บ่งบอกว่า ตัวคุณเองก็รู้ว่าหนี้ก้อนนั้นเริ่มคุกคามหนัก จนควรรีบหาทางปลดออกได้แล้ว
7. “หนี้ล้นจนมีผลต่อการใช้ชีวิต” หากเริ่มมีความเครียดเกาะกุม กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขาดสมาธิทำงาน เพราะมัวแต่คิดวิธีหาเงินมาจ่ายหนี้ก้อนโต อาการนี้ต้องเข็นเข้าห้องไอซียู รีบรักษาด้วยการหาวิธีผ่อนชำระหนี้ให้เร็วที่สุด และที่สำคัญคือ ต้องปฏิวัติวินัยการใช้เงินใหม่ ห้ามใช้จ่ายฟุ้งเฟ้ออีกเป็นอันขาด
ถ้าพบสัญญาณเหล่าเกิดขึ้นกับตัวเอง โปรดรู้ไว้ว่า ชีวิตคุณกำลังเข้าสู่ระยะอันตรายอย่างยิ่ง ต้องคอยตีมือตัวเองแรงๆ ให้หยุดขยันช้อปเสียที ก่อนที่หนี้จะทำให้เราเสียใจ