ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
LTF เมื่อหมดสิทธิลดหย่อนภาษีจะเป็นอย่างไร
กองทุน LTF (Long Term Equity Fund) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า ร้อยละ 65 เพื่อให้ประชาชนรู้จักการลงทุนระยะยาว เพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้น และทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อจูงใจให้นักลงทุนมาลงทุน จุดเด่นของ LTF ก็คือให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ โดยกองทุน LTF นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กอง LTF นี้ได้หมดบทบาทลงไปแล้วในปี 2562 ที่ผ่านมา หลายคนจึงเกิดคำถามว่า เมื่อ LTF หมดสิทธิลดหย่อนภาษีไปแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป บทความนี้มีคำตอบ
นักลงทุนหลายคนอาจรู้สึกว่า ตั้งแต่ LTF ได้หมดบทบาทลงไป ไม่สามารถซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีได้ ผลตอบแทนจากการลงทุนใน LTF ตลอด 3 ไตรมาสแรกของปี 2563 จนอาจเกิดคำถามขึ้นว่า ‘เอ๊ะ ยังมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารกองทุน LTF ให้เราอยู่หรือเปล่านะ?’ เพื่อที่จะตอบคำถามดังกล่าว เรามาดูภาพดัชนี SET, SET50, SET100, และ sSET (ดัชนีของหุ้นที่อยู่นอก SET100) กันก่อนดีกว่า
ภาพที่ 1 รูปดัชนี SET
ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2562 เทียบกับ ดัชนี SET ณ วันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยที่ราคาปิดของดัชนี SET ในวันที่ 30 ธ.ค. 2562 อยู่ที่ 1,579.84 จุด ส่วนราคาปิดของดัชนี SET ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 อยู่ที่ 1,247.59 จุด เท่ากับว่าดัชนีราคาลดลงไป 333.32 จุดหรือคิดเป็น -21%
ภาพที่ 2 รูปดัชนี SET50 ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2562 เทียบกับ ดัชนี SET50 ณ วันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยที่ราคาปิดของดัชนี SET50 ในวันที่ 30 ธ.ค. 2562 อยู่ที่ 1,068.50 จุด ส่วนราคาปิดของดัชนี SET50 ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 อยู่ที่ 788.02 จุด เท่ากับว่าดัชนีราคาลดลงไป 280.48 จุดหรือคิดเป็น -26.3%
ภาพที่ 3 รูปดัชนี SET100 ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2562 เทียบกับ ดัชนี SET100 ณ วันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยที่ราคาปิดของดัชนี SET100 ในวันที่ 30 ธ.ค. 2562 อยู่ที่ 2,342.21 จุด ส่วนราคาปิดของดัชนี SET100 ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 อยู่ที่ 1768.87 จุด เท่ากับว่าดัชนีราคาลดลงไป 573.34 จุดหรือคิดเป็น -24.5%
ภาพที่ 4 รูปดัชนี sSET ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2562 เทียบกับ ดัชนี sSET ณ วันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยที่ราคาปิดของดัชนี sSET ในวันที่ 30 ธ.ค. 2562 อยู่ที่ 679.07 จุด ส่วนราคาปิดของดัชนี sSET ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 อยู่ที่ 614.69 จุด เท่ากับว่าดัชนีราคาลดลงไป 64.38 จุดหรือคิดเป็น -9.5%
จะเห็นว่าผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้ง 4 ดัชนีลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับตอนต้นปี สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดโรคระบาด COVID – 19 เมื่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ดี ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ย่อมที่จะลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาของหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ จะเห็นว่าหุ้นใหญ่ (ที่อยู่ใน SET50) มีผลขาดทุนที่มากที่สุด (-26.3%) ในขณะที่หุ้นกลางและหุ้นเล็กมีผลขาดทุนที่น้อยกว่า (-24.5% และ -9.5% ตามลำดับ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติจะลงทุนในหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นกลางและหุ้นเล็ก และที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิในหุ้นไทยมาโดยตลอด ยิ่งส่งผลให้ราคาของหุ้นใหญ่ปรับตัวลงแรงกว่าตลาด ทำให้กองทุน LTF ที่ต้องลงทุนในหุ้นไทยอย่างน้อย 65% ขึ้นไป ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดโดยรวมที่ไม่ดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งกองไหนที่ลงทุนในหุ้นใหญ่พื้นฐานดี ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบของราคาที่ปรับตัวลดลงมากหน่อย
อย่างไรก็ตาม หากไปดูผลประกอบการย้อนหลัง 1 ปีของกองทุน LTF ณ วันที่ 1 ต.ค. 2563 จะพบว่ามี 24 กองทุนที่ทำผลงานได้ชนะตลาด คือ ได้ผลตอบแทนที่ติดลบน้อยกว่า 21% (และมีบางกองทุนที่ได้ผลตอบแทนเป็นบวกแล้ว) (ที่มา
http://siamchart.com/fund-compare/LTF
ซึ่งหากไม่มีผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการให้ กองเหล่านี้ก็ไม่น่าที่จะมีผลตอบแทนที่ชนะตลาดได้ นั่นหมายความว่าผู้จัดการกองทุนนั้นก็ยังดูแลการลงทุนในกองทุน LTF ให้เราอยู่ ไม่ได้ทิ้งขว้างไปไหน (ซึ่งไม่สามารถละทิ้งได้ เพราะผิดมาตรฐานการทำงาน) แต่สาเหตุหลักที่ราคาปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยโดยรวมไม่ดีต่างหาก
แล้วเราจะทำอย่างไรกับกองทุน LTF ของเราดี?
คำแนะนำ คือ หากยังไม่ครบกำหนดที่สามารถขายได้ ก็ควรต้องถือต่อไป เพราะหากขายออกมาแบบผิดเงื่อนไข เราต้องคืนสิทธิลดหย่อนภาษีที่เคยได้จากการลงทุนใน LTF ให้กับกรมสรรพากร พร้อมจ่ายเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่เกิดขึ้น แต่หากครบเงื่อนไขที่สามารถขายได้ ก็ต้องมาพิจารณาว่าเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร และผลประกอบการของกองทุน LTF ที่เราถืออยู่เป็นอย่างไร หากเราคิดว่ากองทุน LTF ที่เราถืออยู่ทำผลงานได้ดี และเป้าหมายการลงทุนของเราเป็นการลงทุนระยะยาว ก็ควรถือลงทุนต่อ
หากว่ากองนั้นมีผลขาดทุน เราคงต้องพิจารณาดูว่า ปัญหาขาดทุนที่เกิดขึ้น มาจากภาวะของตลาดหุ้นที่มันผันผวนเป็นขาลง หรือเกิดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเองที่อาจจะไม่ดีเท่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผย Peer Performance เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มไว้ให้เราได้ตรวจสอบทุกเดือน รวมถึงศึกษานโยบาย วิธีการลงทุนของกองทุนว่าถูกจริตนิสัยกับเราหรือไม่ ถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีว่า จะถือไปก่อน หรือว่าจะขายดี
กล่าวโดยสรุป ในรอบระยะเวลาการลงทุนในแต่ละรอบ เราอาจจะเจอความผันผวนที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจหนักๆ ส่งผลให้การลงทุนของเรามีผลขาดทุนได้ การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจึงควรเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ทำให้เรามีเวลาที่ยาวนานมากพอที่จะก้าวข้ามวิกฤตนั้นไปได้
บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®, ACC นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร