6 มนุษย์งาน บริการความสุขผ่านโลกออนไลน์ ตอนที่ 2

คนแปลกหน้าที่พาไปหาหมอ

“อาชีพนี้เกิดขึ้นเพื่ออุดรอยรั่วในสังคม”

ทักษะที่ควรมี : 1.ความรู้ด้านการพยาบาล   2. ความอดทน   3.บริการดุจญาติมิตร


ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จากข้อมูลทางสถิติเมื่อปี 2560 บอกว่าจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมากถึง 11 ล้านคน หรือ  1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด ปัญหาที่ตามมาคือ สังคมที่มีแต่คนสูงวัย ป่วยไข้ที ใคร? จะพาไปหาหมอ ลูกหลานก็งานยุ่ง ปากกัดตีนถีบกันเหลือเกิน

‘อาชีพรับจ้างหาหมอ’ จึงเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ และได้รับความนิยมอย่างเงียบๆ (แต่งานเพียบจริงๆ)


รับจ้างหาหมอคืออะไร ?

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน คุณทองกร ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นางพยาบาลวิชาชีพที่มีเวลาว่างจากการลาคลอด ไม่อยากอยู่เฉย เลยมองหาอาชีพเสริม ประกอบกับเห็นการเติบโตของโลกออนไลน์ ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย อย่างเฟซบุ๊ก เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ จึงตัดสินใจเปิดเป็นเพจที่ชื่อว่า ‘รับจ้างพาไปหาหมอ ไปทำบุญ ไปเป็นเพื่อน by ทองกร’  โดยนำทักษะด้านพยาบาลเดิมมาใช้ บวกกับความรู้ด้านประชาสัมพันธ์ที่เคยเรียนสมัยมหาวิทยาลัย ผสมกลมกล่อมกันจนกลายเป็นจุดแข็ง

ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่คือ ลูกหลานที่ให้ช่วยพาพ่อแม่ซึ่งสูงวัยไปหาหมอตามโรงพยาบาลหรือคลินิกต่างๆ รวมถึงบริการเสริมต่างๆ อย่างการพาไปทำธุระอื่นๆ ด้วย เช่น พาไปทำบุญ ไปเป็นเพื่อนตามสถานที่ต่างๆ

“เคยมีลูกค้าผู้หญิงเดินทางมาจากเชียงใหม่คนเดียว เพื่อทำศัลยกรรมในกรุงเทพฯ จ้างให้เราไปเป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนปรึกษา ยาวไปจนถึงตอนดูแลหลังจากทำศัลยกรรมเสร็จ เพราะเค้าไม่มีญาติอยู่ในกรุงเทพฯ”

ดูเหมือนทำอาชีพนี้เป็นเรื่องง่าย แค่นัดเจอกันแล้วพาไปหาหมอก็จบ แต่เนื้องานจริงทั้งยากและเรียกร้องความละเอียดอ่อนสูง

เพราะการจะยอมให้คนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน พาไปไหนต่อไหน โดยเฉพาะกับผู้สูงวัยจอมระแวดระวัง คนแปลกหน้าจึงต้องสร้างความไว้ใจให้ได้

“ช่วงแรกที่เริ่มเปิดเพจ กว่าจะได้รับงานแรกก็ใช้เวลานานหลายเดือน มีคนติดต่อเข้ามาก็จริงแต่พอถึงวันนัดกลับยกเลิกเพราะไม่มั่นใจ คิดว่าเป็นมิจฉาชีพที่อาจจะมาหลอกหรือทำร้ายพ่อแม่ของพวกเขา จึงต้องสร้างความเชื่อใจให้กับลูกค้ามากขึ้นด้วยวิธีต่างๆ เมื่อเจอหรือพูดคุยกับลูกค้าครั้งแรก สิ่งที่ต้องทำคือแสดงความบริสุทธิ์ใจโดยแสดงบัตรประชาชนหรือบัตรวิชาชีพพยาบาลเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นโจร เป็นพยาบาลจริงๆ สามารถดูแลพวกเขาได้ นอกจากแสดงตัวตนแล้วสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ลูกค้าไว้ใจได้เร็วขึ้น นั่นคือการแสดงความจริงใจผ่านบทสนทนา

เริ่มจากการพูดคุยสอบถามอาการว่า ผู้ป่วยเป็นโรคอะไร อาการเป็นอย่างไร เคยเข้ารักษาหรือไม่ ซักถามรายละเอียด


ด้วยจิตที่คิดเอื้อเฟื้อ และหัวใจที่รักการบริการ


งานนี้ไม่ได้ง่ายเลยสำหรับพยาบาลวิชาชีพ ผู้ป่วยที่มาใช้บริการมีหลายรูปแบบ บ้างก็คุยง่าย บ้างก็ดื้อถึงขั้นด่าหยาบคายก็มี

“ต้องเปิดใจดูแลพวกเขาให้เหมือนที่เราดูแลพ่อแม่เรา บางครั้งต้องใช้หลักจิตวิทยาเข้ามาช่วยในการพูดคุย เพื่อให้เขามองเราเป็นลูกเป็นหลาน เป็นคนในครอบครัว เหมือนเราพาญาติมาหาหมอ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ตั้งแต่ไปรับจากบ้าน พามาโรงพยาบาล เดินบัตรคิว เช็คสิทธิ์ ติดต่อขอรับยา พาไปเข้าห้องน้ำ พาไปทานข้าว จนถึงการเข้าไปนั่งในห้องตรวจด้วย เราต้องแปลภาษาทางการแพทย์ที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่าย ผู้ป่วยบางคนเกลียดโรงพยาบาล เพราะกลัวหมอและไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ไม่กล้าถาม ไม่กล้าคุย เราต้องช่วยเป็นสื่อกลางคุยกับหมอให้”


นอกจากใช้เทคโนโลยีเป็นพื้นที่หลักในการประชาสัมพันธ์แล้ว ทองกรยังใช้เพื่อต่อยอดบริการหลังการขาย พูดคุยกับลูกค้า ไม่ใช่แค่การตกลงวันเวลาสถานที่นัดหมายเท่านั้น แต่จะรายงานผลการตรวจจากโรงพยาบาล วิธีการกินยา แจ้งเตือนวันนัดครั้งต่อไป ให้คำปรึกษาต่างๆ  รวมถึงการพูดคุยสอบถามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อให้ลูกหลานได้นำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ในการดูแลพ่อแม่ของพวกเขาต่อ


จุดแข็งของทองกร คือ จดบันทึกประวัติข้อมูลทุกคนที่รับดูแลไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพื่อจะได้ติดตามอาการของผู้ป่วย  วิธีนี้แสดงถึงความเอาใจใส่ จนทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่อยากจะกลับมาใช้บริการอีกในครั้งต่อไป


จากปากต่อปาก และการกลับเข้ามารีวิวในเพจเฟซบุ๊กของลูกค้า  ทำให้ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรับจ้างพาไปหาหมอ เฉลี่ยอาทิตย์ละเกือบสิบราย จนทองกรทำคนเดียวไม่ไหว จึงชักชวนน้องๆ ที่มีวุฒิพยาบาลมาร่วมทีม 4-5 คน


“อาชีพนี้เกิดขึ้นเพื่ออุดรอยรั่วในสังคม” ทองกรคิดอย่างนั้น


สิ่งหนึ่งทองกรอยากบอกคือ ไม่มีใครอยากให้พ่อแม่ของตัวเองไปอยู่บ้านพักคนชรา ลูกหลานต่างก็อยากดูแลพ่อแม่ด้วยตัวเองทั้งนั้น แต่เพราะไม่มีเวลาจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่ตรงกับหมอนัด  อาชีพ ‘รับจ้างไปหาหมอ’ จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยหนึ่งในการสานสัมพันธ์กับครอบครัว


“ถ้าคุณไม่ว่างก็แค่ให้เราเข้าไปดูแลแทน ทุกคนก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิม”


แต่ถึงอย่างไร พ่อแม่ทุกคนก็อยากให้คนเป็นลูกเป็นคนดูแลมากที่สุด-ทองกรยืนยัน


ข้อดีของอาชีพนี้คือ ได้ออกนอกสถานที่ มีเวลาจัดสรรและจัดการเองได้ รายรับก็อยู่ได้ระดับที่ดูแลตัวเองและครอบครัวแบบไม่ขัดสน  โดยรายได้ที่เข้ามาทองกรจะแบ่งเป็นก้อนๆ ก้อนหนึ่งใช้จ่ายในครอบครัว ส่วนอีกก้อนจะ ‘เก็บตาย’ ในบัญชีเงินฝากประจำ แต่ถ้ามีเวลามากว่านี้ ก็อยากศึกษาเรื่องกองทุนดูบ้าง


“ทำอาชีพนี้ไม่ได้รวย อย่างที่บอกว่างานนี้ต้องบริการด้วยใจ เวลาดูแลคนป่วยคนหนึ่งมันเหนื่อย ต้องทุ่มเททั้งกายและเวลา ห้ามมีจุดผิดพลาด เพราะเขาก็เหมือนญาติของเรา”

เมื่อก่อนเด็กติดเกม วันนี้ ‘นักแคสต์เกม"

“เราไม่ได้เล่นเกมเพื่อเล่นกับเกม แต่เราเล่นเกมเพื่อเล่นกับคนด้วย”


ทักษะที่ควรมี :  1.คิดให้เร็ว   2.มองให้ไว้   3.พูดให้ชัด   4.นำเสนอให้น่าสนใจ


ตามตำราสากล นักแคสต์เกม หรือ Caster  จะทำหน้าที่เหมือนกับนักพากย์กีฬา ส่วนคนที่นั่งเล่นเกมให้ดูจะเรียกว่า Let's Play


“ผมชอบอาชีพนักพากย์เกมตรงที่มันเป็น Education + Entertainment มันดีมากๆ ถ้าคุณเล่นเกมแล้วได้การคิดวิเคราะห์แยกแยะกลับไป เมื่อคุณสามารถเล่นมันได้อย่างชาญฉลาด มันก็เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความคิดได้”


‘เฮียโก้’
นักพากย์เกมหนุ่มไฟแรง หรือ คุณประสิทธิ์ เกียรติวัชรวิทย์ วัย 29 ปี มีดีกรีจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากประเทศอังกฤษ ในวงการยอมรับเฮียโก้ในฐานะนักพากย์ที่วิเคราะห์เกมได้ลึกและสนุก ข้อมูลแน่นปึ้กเพราะเริ่มต้นจากการเป็นนักเล่นมาก่อน


เริ่มจากการพากย์เล่นๆ เพราะความชอบและสนุก จนลีลาไปเข้าตาบริษัทค่ายเกมยักษ์ใหญ่ติดต่อให้ไปพากย์เกมแบบจริงจัง และการตัดสินใจเปลี่ยนสายครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก


“คล้ายกับนักกีฬาหลายคนที่พออายุมากขึ้นก็ผันตัวไปพากย์กีฬา แถมยังสบายใจกว่าเยอะ เพราะไม่ต้องแบกรับผลแพ้ชนะเหมือนตอนเป็นนักแข่ง”  จากวันนั้นจนวันนี้ เขาสนุกกับการพากย์เกมอย่างเต็มตัวมาได้ 2 ปีแล้ว


แล้วนักพากย์เกมหรือ Caster ต้องทำอะไรบ้าง ?


ไม่ใช่แค่มานั่งพูดๆๆๆ หน้าจอสี่เหลี่ยม แต่นักพากย์ต้องเป็นพิธีกรที่จริงจัง อธิบายกติกาการแข่งขัน ระบบการให้คะแนนให้กระชับชัดเจน ไปจนถึงการพูดไทน์อินขายสินค้าต่างๆ ให้ดูไม่ยัดเยียดด้วย


ที่สำคัญจะต้องแม่นยำ รู้ว่าเกมที่กำลังพากย์เกี่ยวกับอะไร พร้อมเรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพื่อเล่าเรื่อง และอธิบายให้คนดูคลี่คลายและเข้าใจว่า ทำไมผู้เล่นคนนี้จึงตัดสินใจเดินเกมเช่นนี้


“นักพากย์จะต้องหาคำตอบให้ได้ ว่าทำไมผู้เล่นถึงเลือกใช้ไอเทมนี้แทนที่จะใช้ไอเทมนั้น”

กว่าจะได้คำตอบนั้น เฮียโก้บอกว่าจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก ต้องศึกษาเพื่อให้ตัวเองมีความรู้มากพอที่เข้าใจเหตุผลต่างๆ รวมถึงสื่อสารไปถึงคนดู ให้ได้ทั้งความรู้และความสนุกควบคู่กัน

“การที่เรามองเกมในจอสี่เหลี่ยม โดยไม่มีใครมาบอกว่าทำไมนักแข่งคนนี้ถึงเล่นเก่ง ก็เหมือนคนที่ดูมวยไม่เป็น แม้ภาพกีฬาตรงหน้าจะทำให้เรารู้สึกสะใจแค่ไหน ก็ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเรารับรู้ข้อมูลที่ลึกขึ้น เช่น การเตะไปที่ลำตัวของฝ่ายน้ำเงินจะทำให้ฝ่ายแดงเจ็บตรงไหน แล้วฝ่ายแดงควรจะเอาคืนอย่างไรให้ได้แต้มคืน จะทำให้กีฬาในจอมีชีวิตขึ้นมาก”

นอกจากนั้นนักพากย์จะต้องศึกษาเรื่องราวของทีมนักแข่งแต่ละทีมด้วย เช่น เขามีที่มาที่ไปอย่างไร ได้แชมป์มาแล้วกี่สมัย มีผู้เล่นถูกเปลี่ยนตัวไปบ้างไหม แล้วสไตล์การเล่นของแต่ละคนเป็นอย่างไร เพราะข้อมูลจุดนี้จะช่วย ‘ขยี้’ ให้คนดูสนุกขึ้น

“เหมือนการดูกีฬาฟุตบอล เราไม่ได้เชียร์เฉพาะนักกีฬากำลังจะเตะบอล แต่เชียร์ความเป็นทีม เชียร์ตัวตนของนักบอล มันเป็นกับดักอย่างหนึ่งที่จะสร้างให้คนรู้สึกร่วมและอยากติดตามไปเอง”

ทักษะที่นักพากย์ควรมี คือ  คิดให้เร็ว มองให้ไว้ พูดให้ชัด และพูดให้น่าสนใจ

“ถ้าพูดจาฉะฉาน มีทักษะการสื่อสาร มองเห็นสิ่งต่างๆ แล้วเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนความคิดเป็นคำพูดให้ได้ ก็จะทำให้คุณเป็นนักพากย์ที่ดีได้”

แม้การทำการบ้านเบื้องหลังของอาชีพนักพากย์จะเป็นเรื่องหนักและดูทรมาน แต่ใช้ไม่ได้กับอดีตเด็กติดเกมอย่างเฮียโก้ ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้ใหญ่หลายคนพยายามเปลี่ยนและปรับปรุงภาพลักษณ์เด็กติดเกมให้ดูดีขึ้น

“ติดก็บอกว่าติด แต่สิ่งที่ควรจะทำมากกว่าคือฉายภาพให้เห็นว่า ‘โลกของเกมมันกว้างกว่านั้น’ ปัญหาที่มักออกไปสู่สังคมภายนอกมันคือเรื่องจริงแต่มันไม่ใช่ทั้งหมด มันอยู่ตัวผู้เล่นเองที่จะควบคุมการเล่นได้ไหม ในโลกใบนี้มีกิจกรรมมากมายที่เราใช้เวลาไปกับมันมากเกินไปจนชีวิตพัง เกมออาจจะเป็นหนึ่งในนั้น”

สิ่งที่นักพากย์พอจะทำได้ คือการให้ข้อมูลในเชิงที่ดี ทำให้คนที่สนใจเกม ได้ก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วยความรู้สึกที่สร้างสรรค์

ตามความคิดของเฮียโก้ เกมทุกเกมถูกออกแบบให้ฝึกการจัดการเวลา สิ่งที่จะได้กลับไปหลังจากการเล่นเกม คือ ระบบความคิด การจัดการความเสี่ยง การควบคุมเวลา และการเรียงลำดับความสำคัญ  ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อยู่แล้ว

นอกจากนั้น เกมยังให้สิ่งที่เรียกว่า สังคมและมิตรภาพ

“จากเดิมที่เคยเล่นเกมคนเดียว เมื่อมันมีสังคมเกิดขึ้นทำให้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าเราไม่ได้เล่นเกมเพื่อเล่นกับเกม แต่เราเล่นเกมเพื่อเล่นกับคนด้วย”

เฮียโก้ ยอมรับว่าในช่วงขาขึ้นอย่างนี้ อาชีพพากย์เกมสร้างเงินให้จำนวนไม่น้อย ยิ่งกว่านั้น โปรไฟล์ในเส้นทางสายเกมที่สะสมมายาวนาน เอื้อให้เขาเอาความสามารถ ประสบการณ์ และชื่อเสียงไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เช่น ทำช่อง YouTube หรือ Streaming

กองทุน คือ วิธีเก็บเงินที่เหมาะกับคนวิ่งวุ่นอย่างเฮียโก้ในเวลานี้มากที่สุด เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการศึกษาเกมใหม่ๆ การลงทุนหุ้นตัวนั้นตัวนี้แล้วมีเวลาไปเกาะติดตารางหุ้น - ความเป็นไปได้จึงเท่ากับศูนย์

“ผมจึงเลือกวิธีการดูแลเงินในลักษณะการ ‘ซื้อกองทุน’ เก็บไว้ ปลอดภัยครับ”

แมสเซ็นเจอร์ออนไลน์ - ส่งหมดตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือยอร์ช

“การทำอาชีพนี้เราได้รับความสุขจากข้างทาง”


ทักษะที่ควรมี :  1. อดทน   2. สุภาพ   3. ขยัน   4. ระมัดระวัง 5.ควบคุมตัวเองให้ได้

ถ้าหิวแต่ขี้เกียจขับรถออกไปหาของกินเพราะเบื่อรถติดหรืออยากส่งเอกสารสำคัญโดยมั่นใจว่าปลอดภัยแต่ก็ไม่สะดวกไปเอง ให้นึกถึง ‘แมสเซนเจอร์ออนไลน์’ เพราะพวกเขาขี่ม้าขาวเข้ามาเป็นผู้ช่วยคอยจัดการชีวิตให้สะดวกสบายมากขึ้น...อิ่มท้องด้วย

คุณคณะพล สวัสดี อดีตจากพนักงานประจำ วัย 32 ปี เงินเดือนทะลุ 20,000 บาท ผันตัวมาทำบิดสองล้อ ได้เพียง 8-9 เดือน แม้รายได้จะมากกว่าเดิมไม่มากนัก แต่กลับมีความสุขกว่าชีวิตในออฟฟิศที่กินเวลาถึง 7 ปี

หลังจากที่ลาออกจากงานประจำ เคยลองไปเปิดร้านกาแฟส่วนตัวแต่ก็ไปไม่รอด บวกกับตอนนั้นเห็นโฆษณารับสมัครผ่านเฟซบุ๊ก แม้ไม่เคยรู้จักอาชีพนี้มาก่อนแต่อดีตมนุษย์เงินเดือนก็ตัดสินใจลองสมัครดู ความคิดตอนนั้นแค่จะหาอาชีพเสริมทำไปพลางๆ

แต่พอเริ่มวิ่งรับส่งงานอย่างจริงจัง กลับรู้สึกสนุกมากขึ้น เพราะวิ่งรถแค่รอบเดียวก็ได้จับเงินแล้ว  ต่างจากตอนที่ทำงานในบริษัทที่นั่งนึกตลอดว่าเมื่อไรจะเลิกงาน เบื่อจนอยากกลับบ้าน ซ้ำยังต้องเจอปัญหาหยุมหยิมในบริษัทอีก แต่พอมาขับรถรับส่งของ เขาคือเจ้านายตัวเอง

“เหนื่อยบ้างกับการขับรถระยะไกล แต่ก็สบายใจ ไม่ต้องมาฟังเจ้านายด่า ไม่ต้องกลุ้มใจปัญหาเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องคอยรองรับอารมณ์ใคร อยากกินข้าวตอนไหนก็ได้กิน เหนื่อยก็หยุดพัก แวะซื้อน้ำ ไม่ก็นั่งเล่นที่ปั๊มน้ำมัน จนปั๊มแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว

บ่าย 2 ตอนเป็นพนักงานออฟฟิศ กับบ่ายสองตอนทำงานนี้ ต่างกันสุดๆ  เรายังรู้สึกสนุก อยากวิ่งรถต่อ ไม่รู้สึกอยากเลิกงานแล้วรีบกลับบ้านอีกแล้ว” และที่สำคัญ

“การทำอาชีพนี้เราได้รับความสุขจากข้างทาง”

เวลาหลงทางอยู่บนถนน สิ่งที่มักจะทำคือการถามทางจาก พี่ๆ วินมอเตอร์ไซต์ เพราะรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ คุยง่าย เต็มใจแนะนำเส้นทาง บางครั้งถึงขั้นอาสาขับนำไปส่งก็มี ที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกคนบนถนนเท่ากัน

ดูเหมือนว่าอาชีพนี้ จะมีอิสระสูง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อชีวิต

“ตั้งแต่ล้อหมุน ชีวิตเราก็อยู่บนความเสี่ยงทันที”

การอยู่บนรถจักรยานยนต์เป็นเวลานาน จนแทบจะเป็นอวัยวะอีกส่วนของร่างกาย อุบัติเหตุคือสิ่งที่นึกถึงเป็นอันดับแรก

“คนทำอาชีพนี้ทุกคนจะต้องระมัดระวังอย่างสูง มีแค่ประกันรถที่จะคุ้มครองเรา ขับรถห้ามใจลอย และต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา”

นอกจากความระมัดระวังบนท้องถนนแล้ว คณะพลเน้นมากๆ เรื่องความสุภาพ อย่าใช้อารมณ์กับลูกค้า จะต้องอดทนควบคุมตัวเองให้ได้ แม้จะขับรถตากแดดร้อนแค่ไหนก็ตาม

ที่สำคัญยังต้องตามเทคโนโลยีให้เท่าทันด้วย เพราะอาชีพนี้ใช้โทรศัพท์เป็นหลักตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ยิ่งใครๆ ก็หันมาขับรับส่งของออนไลน์กันเยอะขึ้น การแข่งขันยิ่งสูงขึ้น ถ้าไม่ตื่นตัวก็จะไม่ทันคนอื่น

“เมื่อลูกค้าเรียกงาน สัญญาณจะถูกยิงเป็นรัศมีวงกลมรอบตัวพนักงานทุกคน ในระยะแรก 1.7 กิโลเมตร ถ้าเกิดไม่มีคนเรียกบริการบริเวณนั้น เราก็ควรขับรถวิ่งเข้าหางานไปเรื่อยๆ ห้ามหยุดอยู่กับที่”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาชีพแมสเซนเจอร์ออนไลน์ได้เงินไม่น้อยและได้เงินเร็ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความขยันของแต่ละคน

“ถ้าไม่มีวินัยก็จบ เพราะไม่มีใครเป็นเจ้านายที่คอยบังคับให้เราทำงาน”

คณะพลเริ่มรับงานช่วง 9 โมงเช้า กลับเข้าบ้าน 2 ทุ่ม และตั้งเป้าไว้ว่ารายรับวันหนึ่งไม่ควรต่ำกว่า 1,300 บาท หักค่ากิน ค่าน้ำมันจะเหลือวันละประมาณ 1,000 บาท ยิ่งการได้ค่าตอบแทนเป็นเงินสดมา ถ้าไม่รู้จักเก็บออมและเอาไปต่อยอด เงินที่ได้มาก็จะหมด ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีเก็บเงินโดยการหยอดกระปุกทุกวันและนำเงินไปฝากธนาคารบ้าง เพราะวันไหนที่ตัดสินใจเลิกทำอาชีพนี้แล้ว จะได้เอาเงินตรงนี้ไปสานความฝันต่อไป