ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
20-03-2568
ในเรื่องของความตายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นกับตนเมื่อไร และเมื่อถึงวันนั้นแล้วทรัพย์สินที่เราสะสมมาทั้งชีวิตจะตกเป็นของใคร วันนี้ผมจึงอยากมาชวนคุยในเรื่องของเครื่องมือในการจัดการส่งต่อทรัพย์สินให้ตรงกับความต้องการของเราก่อนที่จะสายเกินไป
ตามหลักกฎหมาย ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
ซึ่งถ้าหากเราไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้คนที่มีสิทธิได้รับมรดกก็จะเป็นทายาทโดยธรรม 6 ลำดับที่จะได้รับมรดกตามลำดับและตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจะถือว่าเป็นทายาทโดยธรรมเป็นกรณีพิเศษซึ่งจะได้รับมรดกร่วมกับทายาทโดยธรรมลำดับต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้
ทายาทโดยธรรม 6 ลำดับ
แต่ถ้าหากเราไม่ต้องการให้การส่งต่อทรัพย์สินของเราเป็นตามลำดับและตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดไว้ เราก็สามารถที่จะกำหนดความต้องการในการส่งต่อทรัพย์สินของเราได้ผ่านการทำพินัยกรรม สิ่งสำคัญคือ พินัยกรรมต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดและผู้ทำต้องมีอายุอย่างน้อย 15 ปีบริบูรณ์ มิฉะนั้นพินัยกรรมจะตกเป็นโมฆะ เสมือนไม่ได้ทำไว้เลย ดังนั้นแบบของพินัยกรรมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
5 รูปแบบพินัยกรรมที่ทำในประเทศไทยมีสาระสำคัญดังนี้
เมื่อเราเลือกได้แล้วว่าพินัยกรรมแบบใดเหมาะสมกับตนเอง เราก็ต้องมากำหนดรายละเอียดต่างๆ ในพินัยกรรมเพื่อให้ตรงกับความต้องการของเรา โดยผมมีข้อคิดเบื้องต้นที่อยากให้ท่านพิจารณาก่อนการจัดทำพินัยกรรมดังนี้
ข้อคิดสำคัญก่อนทำพินัยกรรม
แม้กฎหมายจะกำหนดให้อายุ 15 ปีบริบูรณ์มีสิทธิที่จะทำพินัยกรรมได้ แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่มักจะทำพินัยกรรมกันในตอนที่มีอายุค่อนข้างมากหรือเริ่มมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง แต่ในความเป็นจริงความตายไม่ได้เกิดกับคนที่สูงอายุหรือมีโรคภัยเท่านั้น ความตายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ผมจึงอยากฝากแนวคิดไว้ว่าหากสมาชิกในครอบครัวของท่านคนใดที่ถือทรัพย์สินแทนครอบครัว (กงสี) และมีอายุพอสมควรแล้วอาจจะเริ่มตั้งแต่อายุ 18 ปีเป็นต้นไปก็ควรที่จะทำพินัยกรรม เพื่อที่จะให้ทรัพย์สินของกงสียังคงเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคนในครอบครัวท่าน
การจัดทำบัญชีทรัพย์สินทั้งของส่วนตัวและของกงสีมีความสำคัญมากที่จะทำให้เราทราบว่ามีทรัพย์สินใดอยู่บ้างเพื่อป้องกันการตกหล่น สูญหาย โดยเราสามารถนำบัญชีทรัพย์สินมาแนบท้ายกับพินัยกรรม ท่านสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องบัญชีทรัพย์สินได้ที่ “การจัดทำบัญชีทรัพย์สิน กุญแจสู่การวางแผนความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนผ่าน Family Office”
การที่ส่งต่อทรัพย์สินชิ้นใดไปให้ผู้รับมรดกมากกว่า 1 ท่าน ก็อาจจะมีเรื่องของการจัดการทรัพย์สินร่วมกันในอนาคตของผู้รับมรดกที่อาจจะมีความต้องการบริหารจัดการทรัพย์สินนั้นแตกต่างกัน เช่น คุณพ่อส่งต่อทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 1 แปลง ให้บุตร 3 ท่าน บุตรคนแรกอยากขาย บุตรคนที่สองอยากเก็บไว้เพื่อสร้างบ้าน บุตรคนที่สามอยากปล่อยเช่า เมื่อความต้องการไม่ตรงกันก็อาจจะก่อให้เกิดการทะเลาะและนำไปสู่ความไม่เข้าใจกันในที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับทายาทของท่านในอนาคต ท่านก็อาจจะพิจารณายกทรัพย์สินแยกให้แต่ละทายาทเพื่อไม่ให้ต้องถือกรรมสิทธิ์รวม หรือถ้าหากทรัพย์สินนั้นสามารถแบ่งแยกได้ท่านก็อาจจะพิจารณาแบ่งแยกเพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนการส่งต่อให้แก่ทายาท
เป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากในวันที่ท่านได้จากไปแล้ว เพราะผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นคนจัดการติดตามรวบรวมทรัพย์มรดกและแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้รับมรดกที่เป็นทายาทโดยธรรมหรือทายาทตามพินัยกรรมแล้วแต่กรณี ผมมีข้อคิดเพิ่มเติมในเรื่องของผู้จัดการมรดกที่จะนำเสนอท่านในบทความต่อไป มาติดตามกันนะครับ
บทความโดย : ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office
ลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ที่สนใจในเรื่องบริหารสินทรัพย์ครอบครัวเพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น สามารถติดต่อ Wealth Planning and Family Office Division ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่อีเมล familyofficeteam@scb.co.th หรือที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน (RM) ของท่าน