การลงทุน
บัญชีหุ้นกู้อีซี่ดี
บริการรับฝากหุ้นกู้แบบไร้ใบ
ไม่ต้องเก็บรักษาใบหุ้นกู้อีกต่อไป
บนแอป SCB EASY
ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
มือใหม่ลงทุนหุ้นกู้ต้องรู้อะไรบ้าง
“หุ้นกู้” คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่ง ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากโดยทั่วไปมักมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น และถึงแม้จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น แต่ก็สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล (หุ้นกู้มีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล) อีกทั้ง ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน ก็ยิ่งเป็นแรงจูงใจให้คนสนใจหุ้นกู้มากขึ้น
ทั้งนี้ การลงทุนทุกประเภท ย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องเตรียมตัวศึกษารายละเอียดหุ้นกู้ในประเด็นสำคัญที่ต้องประเมิน อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น อันดับความน่าเชื่อถือ ประเภทและลักษณะของหุ้นกู้ ระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ ข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล งบการเงิน รวมถึง การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มลงทุนในหุ้นกู้ได้ โดยติดต่อได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ธนาคารพาณิชย์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ต่างๆ นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ มีการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งในช่องทางสาขาและช่องทาง Online
การคัดเลือกประเภทของหุ้นกู้ที่จะลงทุนก็มีความสำคัญ เนื่องจากหุ้นกู้มีหลายประเภท บริษัทหนึ่งที่ออกหุ้นกู้หลายครั้ง อาจจะออกหุ้นกู้ประเภทที่ต่างกันได้ ซึ่งหุ้นกู้แต่ละประเภทมีความเสี่ยงแตกต่างกันเพราะมีลำดับการได้รับชำระหนี้คืนต่างกัน ดังนี้
ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย ส่วนใหญ่จะมีหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ที่ไม่มีหลักประกัน (Senior Unsecured Bond) เป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีหุ้นกู้ Perpetual Bond ที่ด้อยสิทธิ และหุ้นกู้ที่มีหลักประกันสำหรับ บริษัทที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิต อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักประกันแล้วก็ควรพิจารณาหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นประกันเพิ่มเติมด้วย ดังนี้
ในส่วนความแตกต่างระหว่างหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) ผู้ถือหุ้นกู้ มีสิทธิเรียกร้องสินทรัพย์จากผู้ออกตราสารสูงกว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิ กล่าวคือ จะมีลำดับได้รับชำระหนี้ก่อน หากบริษัทเกิดความเสียหายขึ้น แล้วต้องนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดนั่นเอง
จุดเริ่มต้นที่นักลงทุนทั่วไปควรพิจารณาคือ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันจัดอันดับความเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แก่ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถือเป็นบุคคลที่สาม (third party) ที่มาช่วยวิเคราะห์และจัดอันดับความน่าเชื่อถือไว้ให้ โดยที่บริษัทเหล่านี้จะไปวิเคราะห์องค์ประกอบหลายด้านประกอบกัน เช่น บริษัทมีสภาพคล่องเป็นอย่างไร มีความสามารถในการทำกำไรอย่างไร และสัดส่วนหนี้สินของบริษัทมีมากเพียงใด เป็นต้น
สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ให้ ก็จะมีไล่ตั้งแต่สูงสุดระดับ AAA ลดหลั่นลงมา ก็จะเป็น AA ที่มี ประจุบวก ไม่มีประจุ และประจุลบ มากำกับเพิ่มเติมถึงระดับคุณภาพไล่เรียงกันไป จากนั้นก็ลดระดับลงมาจนกระทั่งถึง BBB- ซึ่งถือเป็นอันดับท้ายสุดของตารางที่จะจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มตราสารที่ลงทุนได้ หรือ Investment Grade หรือที่เรียกว่า ระดับที่ลงทุนได้ ส่วนระดับที่ต่ำกว่านี้ลงไป จะถือว่าเป็น High Yield หรือ Junk Bond ซึ่งก็คือหุ้นกู้ที่เริ่มมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาจนถึงจัดให้อยู่ในกลุ่มต่ำกว่าระดับที่ลงทุนได้ ซึ่งกลุ่มนี้มักจะมาพร้อมผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยลำดับล่างสุดของตารางการจัดอันดับ ก็คือ D หมายถึง หุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ (in default)
ทั้งนี้มีหลายคน เวลาลงทุนหุ้นกู้ มักจะพิจารณาเพียงดอกเบี้ยรับที่นำเสนอเพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริง แล้ว SCB CIO ขอย้ำว่า ดูดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องดูระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ประกอบด้วย ซึ่งก็พิจารณาได้ตาม Credit Rating ที่ถูกระบุไว้ และอีกประเด็นสำคัญที่ต้องควรดูใน Credit Rating คือ โอกาสการผิดนัดชำระหนี้
สำหรับ หุ้นกู้ SCBX ที่เสนอขายครั้งนี้ มีอันดับเครดิตที่ AA+/Stable Outlook ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่ถือว่ามีความมั่นคงอย่างมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มี อันดับเครดิต AAA (ห่างกันเพียง 1 ระดับ)
บริษัท SCBX เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มี ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สร้างรายได้และผลกำไรที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังขยายธุรกิจไปยังธุรกิจบริการทางการเงินดิจิทัลและสินเชื่อเพื่อรายย่อย (Consumer and Digital Finance Business) รวมถึง ธุรกิจแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี (Platform and Technology Business) เพื่อการเติบโตและกระจายรายได้ให้กลุ่มในระยะยาว
ในปีที่แล้ว หุ้นกู้ SCBX ได้รับผลตอบรับอย่างดี จากนักลงทุนทั่วไป ยอดขายทะลุ 2.5 หมื่นล้านบาท ด้วยความน่าเชื่อถือของกลุ่ม SCBX และผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ ครั้งนี้ SCBX ออกหุ้นกู้เสนอขายให้ลูกค้าบุคคลเป็นครั้งที่ 2 ผ่านช่องทาง SCB Easy Application เช่นเดิม โดยหุ้นกู้เป็นหุ้นกู้ชนิดไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน อายุ 4 ปี ผลตอบแทน 3.10% ต่อปี ซึ่ง Credit Rating ของบริษัทที่ระดับ AA+/Stable Outlook ซึ่งถือว่ามีความมั่นคงอย่างมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มี อันดับเครดิต AAA (ห่างกันเพียง 1 ระดับ) และหุ้นกู้ SCBX ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ซึ่งมีลำดับการได้รับชำระหนี้ก่อนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ นั่นเอง
ทั้งนี้มีหลายคน เวลาลงทุนหุ้นกู้ มักจะพิจารณาเพียงดอกเบี้ยรับที่นำเสนอเพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริง แล้ว SCB CIO ขอย้ำว่า ดูดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องดูระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ประกอบด้วย ซึ่งก็พิจารณาได้ตาม Credit Rating ที่ถูกระบุไว้ และอีกประเด็นสำคัญที่ต้องควรดูใน Credit Rating คือ โอกาสการผิดนัดชำระหนี้
สำหรับ หุ้นกู้ SCBX ที่เสนอขายครั้งนี้ เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 14 – 20 มิถุนายน 2567 ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ผ่านช่องทาง SCB Easy Application ซึ่งมีความสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปทำธุรกรรมที่สาขาของธนาคาร และสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือชี้ชวนของหุ้นกู้ ได้ที่ลิงค์ https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSDE01.aspx?TransID=614800