IRR คืออะไร? ตัวชี้วัดสำคัญที่ก่อนลงทุนแต่ละครั้ง ทำไมถึงต้องรู้


มารู้จัก IRR คืออะไร? ตัวชี้วัดอัตราผลตอบแทนการลงทุนตัวสำคัญ และวิธีการวิเคราะห์การลงทุน เพื่อให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ

 

IRR คืออะไร? ลงทุนแต่ละครั้ง ต้องดูให้รู้

ในวงการลงทุน เรามักได้ยินคำศัพท์มากมายที่เราอาจจะไม่คุ้น หรือเป็นจุดเล็กๆ ในหนังสือชี้ชวนการลงทุนที่เราไม่เคยจะให้ความสำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "IRR" หรือ Internal Rate of Return ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุน

แม้ว่า IRR จะเป็นแนวคิดที่ซับซ้อนสำหรับนักลงทุนมือใหม่ แต่การทำความเข้าใจกับ IRR จะช่วยให้คุณสามารถประเมินโอกาสการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยในการตัดสินใจเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมาย ความสำคัญ และวิธีการใช้ IRR ในการวิเคราะห์การลงทุน พร้อมทั้งยกตัวอย่างการนำไปใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพกัน! ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเรียนรู้พร้อมๆ กันเลย


Internal Rate of Return (IRR) คืออะไร? 

IRR ย่อมาจาก Internal Rate of Return หมายถึง อัตราผลตอบแทนภายใน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปีที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value - NPV) ของกระแสเงินสดจากการลงทุนมีค่าเท่ากับศูนย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ IRR คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังว่าจะได้รับจากการลงทุนนั้นๆ

ซึ่งความสำคัญของ IRR ก็คือการเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้วัดความคุ้มค่าของการลงทุนหรือโครงการ โดยคำนวณจากกระแสเงินสดทั้งขาเข้าและขาออกตลอดอายุของการลงทุน

เราสามารถเข้าใจ IRR ได้ง่ายๆ ว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของการลงทุนเท่ากับศูนย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อัตราผลตอบแทนที่ทำให้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่ากับผลรวมของกระแสเงินสดในอนาคตที่คิดลดมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน

IRR มีประโยชน์ในการเปรียบเทียบหุ้นที่มีขนาดและระยะเวลาต่างกัน ซึ่งโดยทั่วไป แล้วหุ้นที่มี IRR สูงกว่าจะถือว่าน่าลงทุนมากกว่า แต่ต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยง และต้นทุนของเงินทุน ดังนั้นถ้าเราใช้ IRR ก็จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือกระหว่างโอกาสการลงทุนหลายๆ ทางเลือกนั่นเอง

 


วิธีคำนวณ Internal Rate of Return (IRR)

การคำนวณ IRR นั้นค่อนข้างซับซ้อน โดยทั่วไปเราสามารถใช้เครื่องคิดเลขทางการเงิน หรือโปรแกรม Excel ในการคำนวณอย่างไรก็ตาม หลักการคร่าวๆ ของการคำนวณ IRR มีดังนี้

  1. รวบรวมข้อมูลกระแสเงินสด: บันทึกเงินลงทุนเริ่มต้น (มักเป็นค่าติดลบ) แล้วมาประมาณการกระแสเงินสดรับในแต่ละงวด
  2. ตั้งสมการ NPV: ใช้สูตร NPV = CF0 + CF1/(1+r)^1 + CF2/(1+r)^2 + ... + CFn/(1+r)^n = 0 โดย CF คือกระแสเงินสด, r คือ IRR, n คือจำนวนงวด
  3. เสร็จแล้วจึงมาแก้สมการหา r ต่อ: โดยใช้วิธีลองผิดลองถูก (trial and error) หรือใช้โปรแกรมคำนวณ เช่น Excel, เครื่องคิดเลขการเงิน
  4. ซึ่งค่า r ที่ทำให้ NPV = 0 คือ IRR

    ตัวอย่างเช่น: ถ้าลงทุน 1,000 บาท คาดว่าจะได้รับ 600 บาทในปีที่ 1 และ 600 บาทในปีที่ 2
    -1000 + 600/(1+r)^1 + 600/(1+r)^2 = 0
    IRR ในกรณีนี้คือประมาณ 15.47%

ซึ่งจะเห็นได้ว่าการคำนวณด้วยมือค่อนข้างซับซ้อน จึงนิยมใช้โปรแกรมช่วยคำนวณแทน แต่แนะนำว่าเราไม่จำเป็นต้องคิด IRR เองเพราะตัวเลขนี้จะสามารถหาได้จากในเอกสารและแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการเงิน เช่น รายงานประจำปีของบริษัท (Annual Report), หนังสือชี้ชวนการลงทุน, รายงานวิจัยทางการเงิน เป็นต้น

 


แล้วทำไมเราถึงต้องใช้ IRR กับการลงทุน? 

คำตอบก็คือการใช้ IRR ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมีหลักการ แทนที่จะใช้ความรู้สึกหรือสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว อีกทั้งการใช้ IRR ในการวิเคราะห์การลงทุนช่วยให้นักลงทุนมีข้อมูลที่ครอบคลุมในการตัดสินใจ ทั้งในแง่ของผลตอบแทน การเปรียบเทียบ การเข้าใจกระแสเงินสด และการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น

  1. การประเมินผลตอบแทน: IRR
    ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนอื่นๆ โดยหน้าที่ของ IRR คือการแสดงอัตราผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เข้าใจง่าย ทำให้สามารถคำนึงถึงมูลค่าเงินตามเวลา ทำให้การประเมินแม่นยำกว่า และให้ภาพรวมของผลตอบแทนตลอดอายุโครงการ
  2. การเปรียบเทียบระหว่างการลงทุน: IRR
    ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างโครงการลงทุนต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย จะใช้เปรียบเทียบโครงการที่มีขนาดและระยะเวลาต่างกันก็ได้ ช่วยจัดลำดับความน่าสนใจของโครงการลงทุนต่างๆ หรือแม้แต่ทำให้เห็นความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างทางเลือกการลงทุน
  3. การเข้าใจกระแสเงินสด:
    เราจะสามารถเข้าใจถึงผลกระทบของกระแสเงินสดที่แตกต่างกันต่อผลตอบแทนโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณจากกระแสเงินสดทั้งหมดตลอดอายุโครงการ แสดงให้เห็นว่ากระแสเงินสดในแต่ละช่วงเวลาส่งผลต่อผลตอบแทนอย่างไร ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเงินลงทุนและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
  4. การประเมินความเสี่ยง:
    แม้ IRR ไม่ได้วัดความเสี่ยงโดยตรง แต่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงโดยใช้เปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ (Hurdle Rate) ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงของโครงการ ช่วยให้เห็นว่าผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ และทำให้เข้าใจว่าต้องการผลตอบแทนเท่าไรจึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับ


ข้อดีของ IRR มีอะไรบ้าง? 

IRR หรือ Internal Rate of Return เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน โดยมีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการธุรกิจและการลงทุน เช่น

  • เข้าใจง่าย แสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เข้าใจได้ทันที สามารถเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนอื่นๆ ได้โดยตรง
  • เปรียบเทียบหุ้นได้ ใช้เปรียบเทียบหุ้นที่มีขนาดและระยะเวลาต่างกันได้อย่างยุติธรรม ช่วยในการจัดลำดับความน่าสนใจของหุ้น
  • สามารถใช้คำนึงถึงมูลค่าเงินตามเวลา พิจารณาว่าเงินในอนาคตมีค่าน้อยกว่าเงินในปัจจุบันเท่าไหร่ และให้ภาพที่แม่นยำกว่าวิธีการคำนวณแบบง่ายๆ
  • สามารถใช้ได้กับกระแสเงินสดที่ซับซ้อน รองรับกระแสเงินสดที่ไม่สม่ำเสมอได้ เหมาะกับหุ้นที่มีรูปแบบรายรับรายจ่ายหลากหลาย
  • ใช้เป็นมาตรฐานในวงการการเงิน เพราะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจและการลงทุน ช่วยในการสื่อสารกับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยในการตัดสินใจ สามารถเทียบกับต้นทุนเงินทุนเพื่อประเมินความคุ้มค่า ช่วยในการจัดสรรทรัพยากรเมื่อมีเงินทุนจำกัด
  • ให้ผลที่เป็นสัดส่วน ไม่ว่าโครงการจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่
  • สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการลงทุนในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงิน

IRR จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่ก็ยังเป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากๆ


ข้อเสียของ IRR

แม้ว่า IRR จะเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการวิเคราะห์การลงทุน แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อเสียที่นักลงทุนควรตระหนัก การเข้าใจถึงข้อเสียเหล่านี้จะช่วยให้สามารถใช้ IRR ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

  • ด้วยความที่มันไม่คำนึงถึงขนาดของหุ้น IRR จึงอาจทำให้หุ้นขนาดเล็กดูน่าสนใจกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่สร้างกำไรมากกว่าได้
  • อาจมีคำตอบหลายค่า ในกรณีที่กระแสเงินสดสลับขึ้นลง IRR อาจมีได้หลายค่า ทำให้ตีความยาก
  • ไม่เหมาะกับหุ้นที่มีอายุต่างกันมาก เพราะการเปรียบเทียบหุ้นที่มีอายุต่างกันมากอาจให้ผลที่คลาดเคลื่อน
  • IRR ไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงของหุ้นโดยตรง
  • การพิจารณาเฉพาะ IRR โดยไม่ดูปัจจัยอื่นอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้
  • IRR อาจคำนวณไม่ได้หรือให้ผลที่ไม่มีความหมายในกรณีที่หุ้นไม่มีเงินลงทุนเริ่มต้น
  • การคำนวณด้วยมือทำได้ยาก จำเป็นต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย
  • IRR อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน
  • อาจทำให้เข้าใจผิดในกรณีเงินกู้ เพราะ IRR ของเงินกู้อาจต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยจริง

เนื่องจากข้อจำกัดเหล่านี้ จึงควรใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบที่สุด

 

สรุป 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า IRR จะมีข้อดีหลายประการ และไม่ควรมองข้ามสำหรับการลงทุน แต่ก็ควรใช้ควบคู่กับเครื่องมือประเมินการลงทุนอื่นๆ ด้วยเช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะสุดท้ายแล้ว IRR เป็นเพียงเครื่องมือเริ่มต้น แต่ความรู้และความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ จะช่วยให้คุณเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ SCB มีช่องทางการเรียนรู้ด้านการลงทุนมากมาย ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ผ่านบทความ บทวิเคราะห์ และวิดีโอ จากเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน SCB Easyนอกจากนี้ SCB ยังมีบริการที่คอยให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละบุคคลอย่าง FIN4U ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ที่จะช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ และบริการทางเงิน ให้เหมาะสม กับคุณแบบ Personalized ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายทางการเงินได้อย่างตรงใจ
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของ FIN4U ได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/digital-banking/scb-easy/fin4u.html
เริ่มต้นวางแผนการเงิน ลงทุนอย่างชาญฉลาดไปกับ SCB


 

ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้อง