เจาะเทรนด์การลงทุนอย่างยั่งยืนผ่าน ESG Stock

จากการตื่นตัวของสังคมโลกที่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศมากขึ้น จนเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจ ทำให้แนวคิดการลงทุนแบบยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) กำลังก้าวเข้ามาเป็น ‘เมกะเทรนด์ ’ โดยในปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการจัด ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties: COP) ครั้งที่ 26 ที่มีเป้าหมายหลักให้ประเทศต่างๆ ต้องมีแผนระยะยาวร่วมกันในการลดการปล่อยมลพิษภายในปี 2030 และคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2050


ขณะที่ภาคธุรกิจและการลงทุน ประเด็น ESG เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะหลังวิกฤต โควิด ผู้กำหนดนโยบาย รัฐบาลของประเทศต่างๆ ต้องทบทวนหาทางออกให้ธุรกิจผ่านผลกระทบโดยตรงจากโควิดและการดิสรัปชันให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว เช่นเดียวกับมุมมองของนักลงทุนที่เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยผลการศึกษาจาก Global Impact Investing Network (GIIN) ในปี 2020 สำรวจมุมมองนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของโลก 300 ราย พบว่าส่วนใหญ่ 68% ระบุว่าได้นำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามามีส่วนในการพิจารณาประกอบกับการตัดสินใจลงทุน


โดยมีสาเหตุหลักมาจากแรงผลักดันของกระแสสังคมโลก และการพยายามลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น ขณะที่ผลการศึกษาของ Royal Bank of Canada ที่ทำการสำรวจความคิดเห็นของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ (45% ของกลุ่มตัวอย่างมีสินทรัพย์สูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) พบว่ามีมุมมองเชิงบวก และแนวโน้มส่วนใหญ่คาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น (ปี 2020 เทียบกับปี 2018-2019) จากการลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG

sustainable-investment-with-esg-stock-01

ก้าวสู่การลงทุน ESG


แม้การวิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG ส่วนหนึ่งจะเป็นนามธรรม แต่ก็มีหลายปัจจัยที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ด้านการเงินและธุรกิจได้ ดังนี้

  1. ต้นทุนทางการเงิน : บริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะมีโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Funding) มากกว่าบริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญกับ ESG เช่น การเข้าถึงเงินกู้สีเขียว (Green Loan) เนื่องจากการให้ความสำคัญของสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ และหากนำไปใช้ในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยการใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow: DCF) สมมติฐาน อัตราคิดลดจะถูกปรับให้ต่ำลง (ส่งผลให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้น)


  2. การประเมินมูลค่าด้าน ESG ให้เป็นตัวเลข หรือ กระแสเงินสดในอนาคต: ในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ เราอาจจะเปลี่ยนตัวแปรเชิงคุณภาพด้าน ESG ให้เป็นตัวเลขกระแสเงินสดโดยตรง ถือว่าเป็นอีกวิธีที่ตรงไปตรงมา บนสมมติฐานที่ว่า บริษัทที่มี ESG จะมีความเสี่ยงต่ำ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีธรรมาภิบาลย่อมมีความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องต่ำกว่าบริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตามการกำหนดดัชนีชี้วัด หรือคะแนนด้าน ESG (ESG Scoring) สามารถทำได้หลายวิธี และยังคงมีข้อโต้เถียง รวมทั้งยังไม่มีงานวิจัยทางวิชาการใดที่มีบทสรุปและแนวทางการนำไปใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างชัดเจน

นับจากนี้ไปเราคงเห็นถึงทิศทางและแนวโน้มในระยะยาวต่อกระแสการให้ความสนใจเกี่ยวกับ ESG ที่เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งในอนาคตอาจมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบังคับใช้เป็นบรรทัดฐานในสังคมทั้งการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นการลงทุนที่เกาะไปกับกระแสหลักของโลกดังกล่าวจึงคงจะไม่เกินไปนักที่จะกล่าวได้ว่าเป็น ‘การลงทุนอย่างยั่งยืน’


ข้อมูล ณ วันที่  10  เมษายน 2565


บทความโดย คุณณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด


ที่มา : The Standard Wealth