ได้เวลาปั้นพอร์ตให้พุ่งทะยาน ด้วยกองทุน Active Fund จาก SCB

ในช่วงที่ผ่านมา ความกังวลและความผ่อนคลายในหลายตลาดก็ได้สร้างความคึกคักและความผันผวนให้กับการลงทุนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาพรวมตลาดการลงทุนแต่ละประเทศก็มีความเคลื่อนไหวแตกต่างกันตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่รัฐบาลได้เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน และฉีดให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อให้ประชาชนสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และเป็นประเทศที่เข้าใกล้เส้นชัยกับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลก 

 

โดยแถลงการณ์ล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วในปี 2021 เพิ่มขึ้น 0.5% เป็น 5.6% จากการเร่งฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฟื้นตัว นำโดย สหรัฐฯ และอังกฤษ โดยสหรัฐฯ นับว่าเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯ ฟื้นตัว การลงทุนของเอกชนระดับโลกก็จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง การส่งออกของประเทศอื่นก็จะฟื้นตัวตาม โดยจะเห็นได้จากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นถึง 42.6% ด้วยมูลค่ากว่า 4.49 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท ) นอกจากนี้ IMF ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) สหรัฐฯ ในปี  2021 ขึ้นเป็น 7% จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 4.6% และในปี 2022 ปรับเพิ่มเป็น 4.9% จากเดิม 3.5% เนื่องจากสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากโควิดได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ เช่น นโยบายเยียวยาเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลง นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (American Job Plan) มูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ และแผนนโยบายสังคม (American Families Plan) จะผ่านการรับรองในสภาคองเกรส ในส่วนของอังกฤษนั้น IMF ก็ได้ปรับ GDP ในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 7% เท่ากับสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 1.7% จากระดับคาดการณ์ในเดือนเมษายน เนื่องจากอังกฤษมีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก 
 

ในบทความก่อนหน้านี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนด้วยการลงทุนผ่านกองทุนดัชนี (Index Fund) หรือ Passive Fund โดยมุ่งให้ได้ผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีตลาด หรือถ้าชอบประเภทที่ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการให้ผลตอบแทนสูงกว่าผลตอบแทนตลาด การลงทุนเชิงรุก หรือ Active Fund ก็จะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์นักลงทุน โดยส่วนใหญ่แล้วผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์ในการคัดเลือกหุ้นอยู่ 2 แบบ ได้แก่

  1. วิเคราะห์แบบ Top-Down Analysis เริ่มจากการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค อุตสาหกรรม และตีกรอบให้แคบลงมาที่พื้นฐานของสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน เพื่อดูว่าในสภาวะเช่นนี้เหมาะสมที่จะลงทุนหรือไม่
  2. วิเคราะห์แบบ Bottom-Up Analysis เริ่มพิจารณาจากสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนก่อนว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพหรือไม่ และดูว่าสภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรมนั้นๆ เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ สุดท้ายจึงดูว่าเป็นเวลาเหมาะสมที่จะลงทุนหรือยัง
usa-product-banner

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นทำให้การลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าสนใจ จึงขอแนะนำกองทุนที่ลงทุนในตลาดดังกล่าวเพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน ได้แก่

 

  • SCBUSAA กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ (ชนิดสะสมมูลค่า) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Morgan Stanley Investment Fund -US Growth Fund (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนหุ้นบริษัทในสหรัฐฯ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสื่อสาร และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่น่าจับตามอง ภายใต้กลยุทธ์ของกองทุนหลักที่เน้นวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึกของหุ้นรายตัว (Bottom-Up Security Selection) เป็นปัจจัยหลักสำคัญในการลงทุนระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคงและบริษัทกำลังโตที่มีศักยภาพสูง รวมทั้งสามารถบริหารเงินทุนให้สร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 13.47% ต่อปี ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 17.02% ต่อปี และย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 60.94% ต่อปี เมื่อเทียบกับดัชนี Russell 1000 Growth Net 30% Withholding Tax TR Index ที่มีผลการดำเนินงานตามลำดับอยู่ที่ 12.86% ต่อปี, 11.87% ต่อปี และ 42.16% ต่อปี (อ้างอิง: Morgan Stanley Investment Fund ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) 

 

  • SCBEUROPE(A) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยุโรป แอคทีฟ (ชนิดสะสมมูลค่า) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Morgan Stanley Investment Funds (MS INVF) Europe Opportunity (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพดีและมูลค่าน่าสนใจในทวีปยุโรปรวมประเทศอังกฤษที่เริ่มฟื้นตัว เพื่อโอกาสทำกำไรที่เหนือกว่าดัชนีด้วยการลงทุนเชิงรุกในหุ้นคุณภาพของยุโรปทุกตลาด ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 17.13% ต่อปี ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 12.04% ต่อปี และย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 50.40% ต่อปี เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง MSCI Europe Index มีผลการดำเนินงานตามลำดับอยู่ที่ 15.35% ต่อปี, 6.46% ต่อปี และ 27.94% ต่อปี (อ้างอิง: Morgan Stanley ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564) 

 

โดยทั้ง 2 กองทุน เป็นกองทุนบริหารเชิงรุก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นยุโรป แต่ไม่มีเวลาในการศึกษาตลาดด้วยตนเอง รวมถึงผู้ลงทุนที่มองเห็นโอกาสในการทำกำไรในหุ้น Growth ของสหรัฐฯ หรือยุโรป EUROPE ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ตามความเหมาะสมสำหรับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน 

 

ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนการลงทุน สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ บลจ.ไทยพาณิชย์ โทร. 0 2777 7777 กด 0 กด 6 หรือผู้สนับสนุนการขายทุกราย

ศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ ที่นี่

 

อ้างอิง: 


บทความโดย คุณยุทธพล วิทยพาณิชกร Executive Director, กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์ และกองทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด


ข้อมูล ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2564

 

ขอบคุณข้อมูลจาก The Standard Wealth