ในกิจวัตรประจำวัน ชีวิตเราต้องพึ่งพาการทำงานของ Real-Time Application ไม่มากก็น้อย เพื่ออำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์อากาศ ติดตามสภาพการจราจร ติดตามเส้นทางเที่ยวบินของญาติมิตร หรือกระทั่งเตือนภัยธรรมชาติ ฯลฯ

เทคโนโลยีเหล่านี้คืออะไร และวันนี้เรามี Real-Time Application อะไรเป็นที่พึ่งพิงบ้าง ลองทำความรู้จัก แล้วอาจจะรักมันมากยิ่งขึ้น

Real-Time Application (RTA) คืออะไร

เป็นส่วนหนึ่งของ Real-Time Computing หมายถึงแอปพลิเคชันที่ทำงานภายใต้เงื่อนไขเวลาปัจจุบัน การจะตัดสินว่าแอปใดเป็น RTA ต้องพิจารณาถึง WCET (Worst-Case Execution Time) หรือระยะเวลามากสุดที่มันอาจต้องใช้ในการปฏิบัติการบนฮาร์ตแวร์ที่ติดตั้ง

แอปพลิเคชัน Real-Time มักใช้รันข้อมูลสตรีมมิ่ง โดยซอฟต์แวร์ต้องมีความสามารถในการรับ, วิเคราะห์ และปฏิบัติการต่อข้อมูลสตรีมมิ่งที่เข้ามาได้ทันที เราอาจแบ่งประเภทของ RTA ได้ตามข้อกำหนดด้านเวลา ดังนี้

- Hard Real-Time Apps: แอปพลิเคชันที่จะทำให้ทั้งระบบล่มได้หากผิดพลาดไปจากข้อกำหนดด้านเวลา ตัวอย่างเช่น ระบบความปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการเหลื่อมด้านเวลาจนเกินมาตรฐาน จะทำให้เครื่องมือหยุดการทำงานอัตโนมัติ

- Firm Real-Time Apps: แอปพลิเคชันประเภทนี้ การทำงานล่าช้ายังเป็นที่ยอมรับได้ แต่อาจลดทอนประสิทธิภาพลง เช่น ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งการดีเลย์มีผลทำให้คุณภาพของสายเรียกเข้าด้อยลงไปอย่างมาก แม้จะยังใช้งานได้ตามปกติ

- Soft Real-Time Apps: มีกรอบเวลาที่ยืดหยุ่นมากกว่า แต่หากเกิดความเหลื่อมมากเกินไป จะลดทอนประสบการณ์หรือคุณภาพที่ได้รับ เช่น วิดีโอเกม ซึ่งต้องใช้ข้อมูล Input จากผู้เล่นและมีเวลาจำกัดในการประมวลผลข้อมูล

ประโยชน์ของ Real-Time Application

ฟีเจอร์หลักและประโยชน์ของแอปประเภทนี้ มีด้วยกันหลายด้าน โดยมีจุดเด่นดังต่อไปนี้

- สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement): RTA มักจะดึงให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในแบบที่แอปทั่วไปไม่สามารถทำได้ ภาคธุรกิจจึงสามารถใช้เป็นช่องทางเชื่อมต่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

- การสื่อสาร (Communication): เอื้อให้เกิดการสื่อสารแบบ Two-Way Communication ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการสื่อสารแบบทางเดียว ซึ่งมักจะอยู่ในแอปแบบ Nonreal-Time ดังนั้น การประสานงานและสื่อสารภาพรวมจึงได้รับการปรับปรุงได้มากกว่าเดิม

- เวลาในการตอบรับ (Response Time): ใช้เวลารวดเร็วในการตอบรับ Input จากผู้ใช้งานที่ป้อนเข้ามาได้มากกว่าแอปทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ได้รับการตอบสนองรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า

- ลำดับงาน (Workflow): ช่วยกระชับลำดับงานให้คล่องตัวมากขึ้น เพราะลำดับงานถูกจัดตารางเวลาไว้และเสร็จสมบูรณ์ด้วยการบริหารจัดการข้อมูลแบบ Real-Time ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน

Real-Time Application ที่ล้อมรอบตัวเรา

ฟังก์ชั่นการทำงานแบบ Real-Time ที่เราใช้บ่อยที่สุด คือ หมวดการติดต่อสื่อสาร อาทิ แอปพลิเคชันประชุมออนไลน์ และการใช้ Instant Message อย่าง LINE หรือ Facebook Messenger ที่เข้ามาทดแทนการส่ง SMS ที่ปัจจุบันเหลือไว้แค่ทำหน้าที่รับ OTP ยืนยันตัวตน และข้อความข่าวสารโฆษณาเท่านั้น และในขณะนี้แนวโน้ม On-Demand Application หรือการใช้งานเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะมีเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจึงต้องพัฒนาตัวเองให้เป็น Real-Time Application ที่มีฟังก์ชั่นอัปเดตข้อมูลได้ทันที อาทิ แจ้งยอดสินค้าที่เราหมายตาไว้ว่าคงเหลือกี่ชิ้น เมื่อกดซื้อไปแล้ว ยังติดตามการรับส่งได้ภายในแอป ผ่านการเชื่อมต่อกับข้อมูลด้านโลจิสติกส์ของผู้ให้บริการขนส่งได้ด้วย

ขณะที่หมวดหมู่การเดินทาง มีแอปพลิเคชันแผนที่และการจราจรอย่าง Google Maps ที่บอกพิกัดและเส้นทางเข้าถึง พร้อมแสดงสภาพการจราจร ณ ปัจจุบัน และคำนวณออกมา เป็นเวลาที่คาดว่าจะต้องใช้ ขณะที่แอปพลิเคชันเรียกรถ สั่งอาหาร และบริการส่งของ ก็มีฟังก์ชั่นในการติดตามเส้นทาง และทำให้เราติดต่อกับผู้ให้บริการได้ทันทีผ่านข้อความ

ด้านความบันเทิง แอปพลิเคชันเกมออนไลน์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนด้วยระบบ Real-Time เมื่อผู้เล่นต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ หรือผู้เล่นอื่นในเกม หรือกระทั่งเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม ณ สถานที่จริงอย่าง Location-Based Game ที่ใช้ GPS เป็นตัวช่วยกำหนดพิกัด

ในระดับธุรกิจ วงการอสังหาริมทรัพย์นำแผนที่ทางภูมิศาสตร์มาใช้ร่วมกับข้อมูลของสต็อกบ้านที่เหลือ ว่าอยู่ในทำเลใดบ้าง และมีทำเลใดที่ขายไปแล้วบ้าง หรือกระทั่งวงการอุตสาหกรรมหรือการแพทย์ ที่ส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นในโรงงานเพื่อทำการตรวจสอบความปลอดภัย เช่น ตรวจจับอุณหภูมิความร้อน หรือการส่งต่อข้อมูลคนไข้เพื่อประเมินผลอาการได้ทันทีตั้งแต่ยังไม่ถึงโรงพยาบาล เพื่อเตรียมการรักษาอย่างทันท่วงที

อีกหนึ่งแอปที่เป็นประโยชน์กับเราอย่างมาก ในเวลาที่ภัยมิจฉาชีพออนไลน์เข้าคุกคาม ระบาดหนักอย่างในตอนนี้ ก็คือ แอป Whoscall ที่ช่วยเราตรวจเช็กเบอร์แปลกๆ รวมถึงข้อความ SMS ที่ส่งเข้ามาในเบื้องต้นว่า เป็นเบอร์โทร / ข้อความจากมิจฉาชีพหรือเปล่า โดยแอปจะตรวจเช็กจากฐานข้อมูลรวมเบอร์มือถือทั่วโลก กว่า 2.6 พันล้านหมายเลข และยังมีการอัปเดตข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถอัปเดตข้อมูลเบอร์ใหม่ ๆ แปลก ๆ ที่มักจะโทรเข้ามาได้อยู่เสมอ ดังนั้น ถ้าเรามีแอป Whocall อยู่ในมือถือ เวลาที่มีเบอร์ที่เราไม่รู้จักโทรมา แอป Whoscall จะขึ้นข้อความเตือนว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์มิจฉาชีพ หรือเป็นเบอร์ขายตรงแชร์ลูกโซ่หรือไม่ เราสามารถเช็กดูได้ว่าเป็นเบอร์ของหน่วยงานภาครัฐจริงหรือเปล่า รวมถึงรายงานเบอร์ที่เป็น Spam ขายของ หรือมิจฉาชีพ ชักชวนเล่นเว็บพนันเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานท่านอื่นได้ ซึ่งข้อดีเหล่านี้ ทำให้เราสามารถเลือก Block สายโทรเข้าที่ต้องสงสัย หรือไม่ต้องการรับได้ทันที

สำหรับใครหลายคนอาจโหลดหรือมี แอป Whoscall มาใช้ไว้ติดเครื่องอยู่แล้ว ซึ่งเนื่องจาก แอป Whoscal l เป็นแอปที่เปิดให้โหลดฟรีและใช้ฟรีอีกด้วย ที่โหลดมาใช้ฟรี  ซึ่งเราสามารถใช้แอปมาแม้จะช่วยตรวจสอบเบอร์โทร ค้นหาข้อมูลเบอร์น่าสงสัย และสแกนความเสี่ยงลิงก์ได้ (URL Scanner) แต่ก็ยังมีโฆษณามาตลอด ฐานข้อมูลก็ไม่ได้อัปเดตให้อัตโนมัติ แต่หากต้องการเพิ่มความสะดวกสบายยกระดับความปลอดภัย ก็หากเปลี่ยนมาใช้ Whoscall แบบพรีเมียม ก็จะไม่มีโฆษณามากวนใจ มีการอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติ แล้วแอปยังช่วยบล็อกสายสแปมให้อัตโนมัติอีก นอกจากนี้ก็ยังมีตัวช่วยจัดการ SMS อัจฉริยะ จัด SMS เข้าหมวดหมู่ให้อีกด้วย

SCB ช่วยแก้เกมกลโกง ให้คุณรู้ตัวก่อนเงินหาย รู้ทันมิจฉาชีพ ปลอดภัยได้มากกว่าด้วย “โค้ด Whoscall พรีเมียม” ใช้ฟรีนาน 6 เดือน มูลค่า 354 บาท* กดรับได้ที่ เมนู EASY BONUS บน SCB EASY App ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. 66 - 3 ม.ค. 67 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด (โค้ดส่วนลดมีอายุ 7 วันหลังจากได้รับโค้ด) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และวิธีกรอกโค้ดเพื่อใช้บริการ Whoscall พรีเมียม ได้ ที่นี่

ไม่ใช่เพียงแต่อำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่คงจะไม่เกินจริง หากจะกล่าวว่าวันนี้ Real-Time Application ได้ก้าวเข้ามาช่วยชีวิตเราหลายอย่าง จนเราอาจจะขาดมันไม่ได้อีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
https://bit.ly/3GF6P5U
https://bit.ly/2MnXfKn

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารและบริษัทฯกำหนด