ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ฟ้องขอค่าเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่
ความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมไทยเราทุกวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทำงานมักนิยมมีความสัมพันธ์กันในลักษณะ “อยู่ก่อนแต่ง” เพื่อเป็นการทดลองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย การใช้ชีวิตของคนไทยในยุคสมัยใหม่จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ทัศนคติดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์เมื่อปี พ.ศ. 2559 เกี่ยวกับ “มุมมองความรักและการเลือกคู่ของคนโสดในยุคปัจจุบัน” พบว่า คนโสดมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 59.5 ระบุว่า ขณะนี้มีคู่รักหรือคนที่คบหาเป็นแฟนอยู่แล้ว โดยในจำนวนดังกล่าวมีเพียงร้อยละ 29.1 ที่มีความคิดจะแต่งงานกับคนรักของตน ในขณะที่ร้อยละ 4.9 ระบุว่า ไม่ใช่ และร้อยละ 25.5 ยังไม่แน่ใจ ทั้งนี้ คนโสดส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.9 มีทัศนคติในเชิงเห็นด้วยกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงาน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 30.2 หรือเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเพศหญิง โดยร้อยละ 44.3 ให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันก่อนแต่งงาน ขณะที่ร้อยละ 22.6 ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสมัยนี้ใคร ๆ ก็ทำกัน มีเพียงร้อยละ 33.1 ที่ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาตามมา เช่น ตั้งครรภ์ ทำแท้ง และขัดต่อวัฒนธรรมไทย
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากปัญหาในเรื่องของการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม การทำแท้ง และการขัดต่อวัฒนธรรมแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งปัญหาในทางกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตกรณีที่คู่รักครองความสัมพันธ์กัน “ฉันสามีภรรยา” โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงอยากให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองเสียก่อนว่า
“คุณกับคู่รักอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือไม่?”
“มีบุตรด้วยกันหรือไม่?” “บุตรใช้นามสกุลของใคร?”
“รายละเอียดในใบสูติบัตร (ใบเกิด) ของบุตร ปรากฏชื่อของบิดาหรือไม่?”
คำถามเหล่านี้ ยังไม่รวมถึงกรณีที่อาจจะเกิดปัญหาในการเลี้ยงดูบุตรที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น เนื่องจากในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้บุตรที่เกิดขึ้นนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น ผู้เป็นบิดาอาจไม่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ เมื่อคุณแม่ต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single mom) ในกรณีที่พ่อและแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ลูกที่เกิดมาจะถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เป็นแม่เพียงผู้เดียว และจะเป็นลูกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อ ดังนั้นผู้เป็นพ่อก็ไม่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรตามกฎหมาย แต่ต่อมาถ้าแม่ต้องการให้พ่อจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ก็จะต้องดำเนินการให้พ่อดำเนินการรับรองให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของพ่อเสียก่อน จึงจะมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูบุตรได้
กรณีลูกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังกล่าว ในทางกฎหมายเราเรียกว่า “บุตรนอกสมรส” ซึ่งกฎหมายก็ได้กำหนดวิธีการที่จะเป็นทำให้บุตรนอกสมรสกลายเป็น “บุตรชอบด้วยกฎหมาย” ได้ ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
1. บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร
2. บิดามารดาสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายภายหลัง
3. ศาลพิพากษาว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา
อย่างไรก็ดี กรณีตามข้อแรก บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร การจดทะเบียนรับรองบุตรจะต้องให้บิดาไปจดทะเบียนรับรองบุตรกับนายทะเบียนที่สำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอในแต่ละจังหวัด โดยมารดาต้องให้ความยินยอม รวมทั้งเด็กต้องให้ความยินยอม แต่ถ้ากรณีที่เด็กยังเล็กมากและยังไม่สามารถพูดให้ความยินยอมได้อาจขอให้ศาลมีคำสั่งแทนคำยินยอมของเด็ก
กรณีที่สองบิดามารดาสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายภายหลัง
เด็กจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาโดยมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่เด็กเกิด
กรณีสุดท้ายหลังจากที่ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ก็จะมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่เด็กเกิดเช่นกัน
อีกกรณีหนึ่งที่มารดาสามารถนำมาใช้อ้างได้ ถ้าพบข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา
ดังนั้น เมื่อสามีไม่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ฝ่ายภรรยาสามารถดำเนินการฟ้องศาลขอให้สามีรับเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงสามารถเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้อีกด้วย เมื่อบิดาจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว กฎหมายกำหนดหลักไว้ว่าบิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะคืออายุ 20 ปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ มารดาสามารถยื่นฟ้องบิดาต่อศาลเยาวชนและครอบครัว โดยการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียม และเพื่อความสะดวกรวดเร็วการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ก็ยังสามารถฟ้องรวมกับการฟ้องให้บิดารับเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
บทความโดย : อังค์วรา ไชยอนงค์