ผลการค้นหา "{{keyword}}" ไม่ปรากฎแต่อย่างใด
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
การใช้และการจัดการคุกกี้
ธนาคารมีการใช้เทคโนโลยี เช่น คุกกี้ (cookies) และเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ของธนาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ นโยบายการใช้คุกกี้ของธนาคาร
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผู้เสียภาษีควรรู้ อัพเดตปี 2022
พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมาทดแทนกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 เพื่อให้กฎหมายมีความสอดคล้องกับลักษณะที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปัจจุบัน ทั้งนี้รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะถูกจัดเก็บโดย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เพื่อช่วยบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสียในปี 2563 และจะไปเริ่มเสียภาษีปกติใน เม.ย. 2564 เป็นต้นไปดังนี้
1. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม
2. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
3. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจากเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย
ยกตัวอย่างเช่น พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม จากที่คิดในอัตรา 0.3% จะเปลี่ยนมาเป็นอัตรา 0.03% ยกตัวอย่างเช่น มูลค่าราคาประเมินทุนทรัพย์ 5 ล้านบาท คิดเป็นค่าภาษี 15,000 บาท แต่เมื่อลดจำนวนภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ จะชำระภาษีเพียง 1,500 บาท เท่านั้น
4. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่รกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
อัตราการชำระภาษีเหมือนกันกับข้อ 3
แม้ว่าเราจะได้รับการบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2563 ผู้มีที่ดิน อาคาร หรือมีบ้านอยู่อาศัย รวมถึงผู้ที่กำลังจะตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ยังจะต้องให้ความสนใจ และต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่บังคับใช้นี้
เทคนิคบริหารภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และข้อควรพิจารณา
1. สำหรับผู้ที่มีบ้านหลายหลัง
การที่เจ้าของมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน บ้านหลังนั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัย หากบ้านและที่ดินนั้นมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนั้นหากมีบ้านหลายหลัง หรือคอนโดหลายห้อง ให้ย้ายชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ไปอยู่ในทะเบียนบ้านหลังที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่สามารถใช้อยู่อาศัยได้ ถือว่าเป็นการใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นที่อยู่อาศัยหลัก ซึ่งจะช่วยให้ได้ประโยชน์จากการยกเว้นภาษีที่ดิน สำหรับมูลค่า 50 ล้านบาทแรก ในกรณีถือครองทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (เช่น บ้าน ทาวน์เฮ้าส์) หรือ 10 ล้านบาทแรก ในกรณีถือครองเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง (เช่น คอนโด) โดยการยกเว้นภาษีที่ว่านั้นจะพิจารณาจากชื่อในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ 1 มกราคม ของแต่ละปี
นอกจากนี้ หากเราอยากยกบ้านหรือคอนโดเพื่อเป็นมรดกให้ลูกอยู่แล้ว ก็อาจพิจารณาโอนบ้านหรือคอนโดให้ก่อน ก็เท่ากับว่าบ้านหรือคอนโดหลังนั้นจะมีเจ้าของ และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นบ้านหลังแรก ซึ่งได้รับการยกเว้นฐานภาษีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทสำหรับบ้าน และ 10 ล้านบาทสำหรับคอนโด อย่างไรก็ตามอย่าลืมพิจารณาค่าใช้จ่ายในการโอนและภาษีการให้ประกอบการพิจารณาด้วย
2. สำหรับผู้ที่มีที่ดินหลายแปลง
เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งหากเราปล่อยให้เป็นที่ดินรกร้าง จะทำให้เสียภาษีในอัตราที่สูง ดังนั้นหากเรามีที่ดินหลายแปลง เราควรพิจารณาที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดิน ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาด้วยว่า ต้นทุนการทำเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์คุ้มกับภาษีที่ดินที่ลดลงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การยกหรือโอนที่ดินให้กับผู้อื่นจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการโอน และภาษีการให้ นอกจากนี้เราต้องมีความมั่นใจในผู้รับโอนว่าจะมีวินัยทางการเงินที่ดีพอ ที่จะไม่ก่อปัญหาตามมาในภายหลัง เช่น เป็นหนี้สินถึงขั้นต้องยึดทรัพย์ เพราะเจ้าหนี้ก็จะมีสิทธิที่จะมายึดที่ดินผืนที่เราโอนให้ได้ ส่วนการตั้งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท ว่าจ้างพนักงาน ทำและสอบบัญชีด้วย ทำให้ไม่ว่าจะเลือกดำเนินการแบบใด ต้องเปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายกับภาษีที่ดินที่จะประหยัดได้ทุกครั้ง
จากอัตราภาษีข้างต้น จะเห็นว่าประชาชนทั่วไปอาจได้รับผลกระทบไม่มากจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะหากเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรและที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับการอยู่อาศัย ที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะได้รับยกเว้นภาษี แต่ผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินแน่ๆ คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านหลายหลัง นิติบุคคลที่ใช้ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งผู้ครอบครองที่ดินที่ปล่อยรกร้าง
อย่างไรก็ตาม ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรรู้และศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะจะช่วยให้เราสามารถวางแผนและจัดการกับภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้น
บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®, ACC นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร